Saturday, January 31, 2009

มาดูนี้กัน


เมื่อวานไปที่South City Mallไปเห็นธุรกิจที่รุ่งมากจริๆของคนอินเดีย
ที่น่าสนใจมากสำหรับฉั้นคือ ห้องเล็กๆที่เปิดรับทำงานไม้ประเภทที่คุณสามารถdesign สดๆร้อนๆตรงงนั้นได้ แล้วก็สามารถรับได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เสียดายที่ฉั้นไปค่ำ เลยต้องไปเอาวันนี้....ไม่ใช่กรอบวิทยาศาตร์ แต่เป็นคล้ายๆกับงานเซรามิกไม้อ่ะจ้า
ไม่รู้เหมือนกันว่างานประเภทนี้เค้าเรียกว่าอะไร

รูปบนนี้อันละ 550 รูปีนะ แพงไหมเอ่ย?

Why the Swan is The Symbol of Learning?



Do u see the swan in the picture? Look for it,and follow me.

Today reminds me to recall my past learning of the symbolic meaning from an Indian uncle.Why the Swan? Why not any other creature?

The swan knows what is worth and what is not.It is able to find milk in a lake of lots of water. This applies to us as learners must how to learn what is to be learned to learn and avoid the rest that is not.


เรียนให้เหมือนกัยหงษ์ที่รู้จักรินนมจากแม่น้ำ สิ่งต่างๆมีให้เราเรียนรู้มากมาย เราก็ต้องรู้ว่าเราอะไรคือสิ่งที่เราต้องเรียน ต้องใช้ และต้องตักออกมาจากแหล่งคามรู้มากมายที่เราไม่สามารถเรียนรู้หมดได้ ง่ายๆเลยก็คือว่า..เรียนรู้ในสิ่งที่เราคนคนหนึ่งชาติหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อน ก่อนที่จะไปเรียนเสริมอื่นๆนั่นเอง...ถูกหรือเปล่าไม่รู้ซิ

Sarawati Day




ศุกร์นี้ฉันไม่รู้ว่าเป็นวันอะไรหรอก จนกระทั่งถึงตอนเย็นที่กลับบ้านแล้วเห็นผู้ใหญ่เขาจัดสถานที่อย่างสวยงามตรงทางเข้า ก็เลยนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นเน้อ ไม่ได้ถามความแต่อย่างใด ตกดึกสามทุ่มครึ่งหลังทานข้างเสร็จแล้ว ฉันก็เดินตระเวณตามถนนเล็กแถวโกลพาร์ค แล้วไปทะลุที่ถนนใหญ่ราชบีฮารี ไม่มีร้านมากนักแล้วที่เปิดร้านอยู่ ผู้คนที่ขายของสงหว่างทางกำลังเก็บของอย่างเขมักเขม้น ฉันเจอสองหนุ่มเนปาลหรือเนปาลีเข้า เค้าก็คงคิดว่าฉันเป็นพวกเดียวกับเค้า ส่งภาษาให้ฉันอยู่ แต่ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด เดินมาเรื่อยๆ ไฟของเมือนี้ก็ดับอีก ผู้คนไปๆมาๆเหมือนกับไฟไม่ดับเช่นเคย สักครู่เดินเข้ามาใกล้บ้าน มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา...เอ้ เจ้ากุ๊กนิ..มาแล้วหรือเนี่ย เร็วกว่ากำหนดจัง..การบินไทยเลื่อนเวลาการบินเพราะหมอกลงหนักในช่วงเช้าตรู่ ปกติจะถึงที่นี่ก็ตีสาม แต่น้องมาถึงที่นี่สี่ทุ่ม ..ต่อจากนั้นฉันก็เดินเข้าไปในสถานที่ที่ทางพระฮินดูจัดสถานที่สำหรับวันสำคัญของวันนี้ ฉันเข้าไปดูๆอยู่เห็นลุงคนหนึ่งกำลังจัดวางผงสีอะไรสักค่อนข้างมีน้ำหนักนิดๆ ค่อยๆวางไปเป็นรูปทรงและรูปภาพต่างๆจนก่อนฉันกลับ ฉันขณะที่รอดูผลงานของลุงนั้น ก็เข้าไปข้างในแล้วไปฟังพระฮินดูสวดมนต์ประกอบกับเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของอินเดีย ไม่มีใครมาฟังเลย มีแต่ลุงสองคน พระ และฉั้นแค่นั้นแหละ สักครู่เดินออกมา แล้วมาพูดคุยกับลุงนี้ เค้าทำงานให้กับรามคริสนามิสชั่นได้ 29 ปีแล้ว ชวนฉันคิดไปพลางๆว่า องค์กรศาศนานี้รักษาคนใช้ไว้จนผมขาว ผิวย่นกันหมดก็ยังไม่เคยให้เค้าออกเลย บางคนที่ดูแลอาหารให้พวกเราก็อายุมากแล้ว หลายๆคนที่รดน้ำต้นไม้ไม่ไหวแล้ว ก็ยังถอนหญ้าอยู่ เฮ้ย...หากไม่ทำแล้ว จะทำอะไรเล่า?

เอาล่ะต่ออีกนิดเรื่องของเราในวันนี้นะ...วันนี้เป็นวันของทุกคนเลยนะ คนที่ขนไขว้หาความรู้จะไม่แตะหนังสือเลยนะวันนี้ เป็นลางไม่ดีสักเท่าไร เพื่อนๆบอกฉันตั้งแต่ปีแรกที่มาอยู่ที่นี่ เราก็ลืมอ่ะ ก็เลยไปหยิบหนังสือมาอ่านเลยอ่ะ..สักครู่คิดได้..วางลง..อยู่ๆ ก็ไปจับมาอีก..เหอะๆ เด็กเรียนไง..จับหนังสือเป็นกิจวัตร ลองตั้งใจไม่จับซิ..รับรองว่าคุณต้องลืมด้วยแน่ๆเลย กิกิ

ทุกคนทั้งผู้ใหญ่และเด็กทยอยกันเข้ามาที่วัดฮินดูที่อยู่ข้างๆบ้านพักเรา ผู้ชายและผู้หญิงทั้งน้อยใหญ่ต่างสวมชุดอินเดียกันโดยเฉพสะชุดสีขาวและเหลือง คงรู้นะว่าหมายถึงอะไร...ฉันสวมชุดสาวาคาเมสสีหลืองและเขียวหน่อยจ้า สวยเหมือนคนอินเดียเหมือนกันนะ จริงๆแล้วต้องใส่สาหรี แต่อุดไว้ตอนงานFarewellก่อน แฮะๆ
เดินข้างหน้าเรื่อยๆตรงที่คนไปเยอะๆ ไปดูว่าเค้าทำอะไร ไม่รู้ว่าเค้าทำไรกัน อ้อ..ดอกไม้หนึ่งกำฉั้นยื่นมือไปกำ แล้วนำมาอธิฐานของพรเจ้าเจ้าแม่สาราวาตี พระสวดก็สวดตมพระไป จากนั้นก็คืนดอกไม้ในมือไป แล้วถูกนำไปเทไว้ตรงหน้าของเจ้าแม่ ฉันเดินออกมาเรื่อยๆ ตรงที่ไม่มีคนเยอะเท่าไหร่ แล้วหาโอกาสถ่ายรูปผู้คนสักครู่ ก็ถ่ายกันเองมั้งเมือเพื่อนๆมา ไม่นานเราต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป แล้วฉั้นก็กลับมาสู่ความเป็นปกติของชีวิตในวันเสาร์เช่นเคย แต่ไม่แตะหนังสือเลยนะวันนี้ จริงๆนะ เพราะอยากจะเก่งเหมือนเด็กอินเดียบ้าง...สรุปแล้ววันนี้เป็นวันแห่งความรู้ วันที่ฉั้นคิดว่าฉั้นควรรู้จักตัวเอง รู้จักสำนึกถึงบุญคุณของผู้อื่น และรู้จักและตระหนักคุณค่าของการศึกษาเล่าเรียนมากกว่าการที่ต้องหาความรู้ให้มากที่สุดในวันแห่งความรู้อย่างนี้ ไม่งั้นพ่อแม่คงแนะนำให้เด็กๆอ่านหนังสือมากว่าการออกไปบูชาเจ้าแม่สาราตีแล้วล่ะ

Thursday, January 22, 2009

สวนขยะ:อุโมค์ของปากท้อง


ขากลับกุฏิของพระอาจารย์ที่ Chandi Chowk ฉันแทนที่จะนั่งรถบัสเหมือนปกติ ฉันตั้งใจจะเดินเล่นออกกำลังกาย ระหว่างทางช่วงหนึ่งใกล้หอมีโอกาสได้เห็นหลายสิ่งที่เวลาฉันนั่งรถแล้วมักจะไม่มีโอกาสได้เห็น สวนทิ้งขยะ!! ฉันตั้งชื่อให้อย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉันเห็นว่าเป็นลานขยะที่กว้าง และอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ปกติฉันเข้าใจว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ทำมาหากินของครอบครัวผู้คนหลายๆคนที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น แต่ทันทีที่ได้เห็นสังกะสียาวๆแต่ละแผ่นวางต่อๆกันสะท้อนสีแวววาวที่อาจรบกวนผู้ขับขี่ยานพาหนะ ความรู้สึกของฉันชวนให้ฉันคิดว่า "แล้วเพื่อนบ้านของฉันไปทำงานที่โรงงานไหนต่อ เมื่อโรงงานนี้ถูกปิดแล้ว..แล้วจะเอาอะไรมากรองปากท้องเล่า??" ความมืดๆไร้ซึ่งผู้คนเดินผ่านมาในช่วงนาทีนั้น ทำให้ฉันเดินอย่างรวดเร็ว พร้อมชวนตัวเองคิดเรื่อยเปื่อยว่า ฉันควรเก็บความรู้สึกนี้มาเขียนบันทึกไว้เหมือนๆกับความรู้สึกที่ถูกบันทึกมา ไม่มีคนผ่านมาในขณะนั้น ยกเว้ณรถแท๊กซี่หลายคันกำลังวิ่ง ฉันทันนั้น แปลกใจที่มีที่ที่หนึ่งของสันกะสีเป็นสีดำ ฉันเดินมาใกล้เข้าๆ จนเห็นว่าเป็นอุโมงค์เบ้อเล่อเลย ถูกกรีดเป็นรูใหญ่และสูงเท่าคน ฉันเลยแอบดีใจยิ้มว่า "อย่างน้อยยังมีทางหนึ่งที่พวกเขาสามารถทำธุรกิจของเขาต่อไป" เดินมาถึงห้องแล้ว ฉันตั้งใจจะไปดูอีกครั้งพรุ่งนี้ตอนเช้าใน ....ฉันไม่อยากไปเห็นสภาพของรั้วล้อมที่ถูกซ่อม มั่นคงและถาวรกว่านี้เลย


เรนไร 22nd January 2009
Indian time:8.00pm.

"นักเรียนไทยกัลกาต้า"ครั้งแรกที่ปากต้องทำงานเพื่อสานความคิค




วันนี้บ่ายๆฉันได้สร้างทางของฉันกับเพื่อนๆอีกสามคนไปยังกุฏิของพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่วัดเบงกอล ฉันไม่ได้มีเป้าหมายอะไร นอกจากไปเยี่ยมหาท่าน พอไปถึง ฉันงงจังเลย ไม่รู้จะอยู่ตรงส่วนไหนของบทสนทนา ฟังไปฟังมาแล้ว เป็นการสนทนาการถึงเรื่องของการจัดกลุ่มนักเรียนไทยในรัฐนี้เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สำหรับเมืองใหญๆอย่างเดลี เจนไน พาราณสี และบังกาลอร์ พระอาจารย์ท่านกล่าวว่ามีการวบรวมเป็นกลุ่มที่เข๊มแข็งได้แล้ว โดยเฉพาะที่เดลี เมืองหลวงปัจจุบันของอินเดียส่วนเมืองหลวงเก่าของอินเดียที่เรากำลังอยู่นี้ วันนี้เพิ่งจะได้เริ่มต้นจากปากเอง ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่แล้วในความคิดของพระอาจารย์(น้ำค้างหยดหญ้า)และพี่คนหนึ่งที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาในปีนี้ วันนี้งานคงยังไม่เดิน จนกว่าจะได้สามาชิก และสามาชิกของเราที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับสูงก็มีเพียงแค่ ๑๒ คน ไม่รวมพระที่มาศึกษาอีกหลายรูป หากเป็นไปได้จะเป็นสิ่งที่ดี หากไม่ได้ทำเลย ก็ไม่ดี และจะไม่ดีมาก ถ้าพูดว่าจะทำแล้วไม่ได้ทำ งานนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันควรอยู่ตรงจุดไหนของงาน แต่หากมีการก่อตัวขึ้น มือน้อยๆสองมือนี้ยินดีร่วมนะจ้า


เรนไร ๒๒ มกราคม ๒๕๕๒
Indian time:7 pm.

Wednesday, January 21, 2009

เสด็จเยี่ยมต้นไม้ที่ปลูกไว้บนดอย


วันนี้เป็นวันที่สมเด็จพระเทพรันตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จเยี่ยมโรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนรัปาปอร์ต โรงเรียนที่ฉันผูกพันมาตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบัน จากการฟังคำบรรยายจากคุณแม่ของฉัน พระองค์ท่านทรงพระเครื่องมายังสนามอบต.บ่อแก้ว แล้วเดินทางโดยพระที่นั่งมายังโรงเรียนแห่งนี้ที่บ้านป่าเกี๊ยะใน ด้วยการทรงงานทั้งวันที่อำเภอแม่แจ่มด้วย พอถึงที่โรงเรียนของพวกเราก็ ๑๗.00 นาฬิกาแล้ว และเพียงสักสองชั่วโมง พระองค์ท่านก็เสด็จกลับ การเสด็จครั้งนี้ทิ้งช่วงได้ 5 ปีเต็มหลังจากที่มีการเสด็จในปี 2547
การทรงงานทางไกลของพระองค์ท่านคงเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรของพระองค์ท่านไปเสียแล้วหล่ะ ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างเลยหรือ?
การทรงงานยามเย็นวันนี้ที่โรงเรียน เตือนให้ฉันนึกถึงสองปีก่อนที่พระองค์ท่านทรงเสด็จมาเยี่ยม Loreto College ในอินเดียที่ฉันกำลังเรียน โดยมีภารกิจคราวๆดังนี้คือ พระองค์ท่านกลับจากการเยี่ยมสถานที่สำคัญต่างในเมืองกัลกาต้าประมาณ ๑๖.00 นาฬิกา และหกห้าโมงเย็นเสด็จไปยังวิทยาลัยของเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกัน St.Xavier college สามทุ่มเป็นเวลาเสวยพระหระยาหารของพระองค์ท่าน สี่ทุ่มเป็นเวลาที่เหล่าข้าราชการและนักเรียนทุนอย่างข้าพเจ้าต้องเข้าเฝ้าในโรงแรมที่พักของพระองค์ท่าน เที่ยงคืนเป็นเวลาเสด็จไปยังสนามบินเนทาจี(Netaji Airport) ตีสองครึ่งเป็นเวลาที่นกของการบินไทยบินออกจากที่นี่ พระองค์ท่านเสด็จถึงประเทศไทยก็ประทาณ ๖ นาฬิกาตอนเช้า กลับถึงไทยมีเสด็จไปทรงงานที่อื่นอีก...เป็นฉันคงไม่ไหวหล่ะ...แต่นี่คือใครเล่า?

ฉันคิดแล้วรู้สึกว่า พระองค์ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ทำงานไม่เป็นเวลาเอาเสียเลย ไม่มีการเว้นวันหยุด และไม่ฟิสเวลาในการทำงาน ดึกๆ เช้าๆ และบ่ายๆเป็นเวลาของการทำงานหมด ...แล้วก็ไม่ทรงอยากพักผ่อนบ้างเลยหรือพระพุทธเจ้าค่ะ? ต่างจากฉันเสียเหลือเกินที่เอาเวลามากมายใช้อย่างไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่ การนึกถึงการทรงงานอย่างหนักของพระองค์ท่านแล้ว วันนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของพระองค์ท่านที่ฝากไว้กับฉันก่อนเดินทางมาที่นี่และตอนที่มาเยี่ยมที่นี่ หวังบางอย่างฉันได้ทำบ้างแล้ว และหวังอีกมากมายยังไม่ได้ทำเลย...เลยชักจะกลัวๆหน่อยแล้วซิกับการรเสด็จของพระองค์ท่านในเดือนหน้า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันต้องมองดูตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรายงานให้พระองค์ท่านได้ทราบ...แล้วจะรายงานว่าอย่างไรดี ฉันไม่ได้ใช้สิ่งที่อยู่ในฉันอย่างมีประโยชน์เลย

อย่างไรก็ตามตอนนี้ภูมิใจที่มีพ่อแม่ให้โอกาสเรา ครูให้โอกาสเรา และคนรอบข้างใหโอกาสเสมอ ฉันภูมิใจที่พ่อแม่ของฉันมีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ท่านอีกครั้งหนึ่ง คุณย่าเราอยู่หลังสุดโน้นเลย แต่คุณแม่และคุณพ่อเราอยู่หน้านี่เอง ส่วนเราก็อยู่ที่นี่ อยู่ที่นี่ตัวเล็กจะตาย แต่เมืองไทยดูแล้วตัวใหญ่มากเลย...เราก็แค่นี้ อย่างนี้ ลูกใคร หลานใครก็ไม่รู้ ทำไมพระองค์ท่านถึงมีเมตตาอย่างนี้....พระองค์ท่านไม่กลัวเลยหรือว่า ต้นไม้ที่ปลูกไปอาจจะไม่เจริญเติบโตหรืออาจจะให้ผลที่ไม่งามบ้างเลยหรือ...ทำไมถึงกล้าเสี่ยงกับต้นไม้ต้นนี้ในป่าดงดิบที่ห่างไกลจากแสงสว่าง ...มีวันนี้ อาจเป็นเพราะพระองค์ท่านคิดว่า อย่างน้อยต้นไม้ต้นนี้ก็อาจสามารถกลับไปตกแต่ง และจัดทรงกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่เล็กกว่าให้ดูดีขึ้นได้ เหมือนที่พระองค์ท่านให้โอกาสเด็กๆอย่างพวกเราที่นี่วันนี้...ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบขอบพระมหากรุณาธิคุณนี้ พระคุณที่ล้านคำไม่อาจบรรยายได้ เงินตราตีค่าไม่ได้...จะทำให้ดีที่สุดนะคะ...กำลังจากฟากฟ้ามากมายจากคนที่รัก ชอบ และห่วงเรามีให้เราเสมอ..

เรนไร ๒๑ มกราคาม ๒๕๕๒

Tuesday, January 20, 2009

เวลาที่ผ่านมาและอีกไม่กี่วันที่เหลือ

This is my words to my Indian friends before leaving the college for good.Life is so short indeed,but I am well aware it not. Let's see what I have said about my friends.


Hi,Hi ,all my golden friends.
Department CE once we were.
Remember? Twenty –nine at first,
And this girl; Esha was our head.
I’m often confused her with Asha.

One year passed, class rep was Lily.
In her time, Sania, our babe
Didn’t complete her years but she left.

This reminds me of dear Shuti.
She did sit, did well for her test.
Why she left seems to be a secret.
Better day, better life on her way?

I’m now making my way to the class.
I shall have a list of /i/ /i/:
Shalini, Minalini, and Simi
Are active and good at talking

Look in front I see Caroline.
Her smile and silence give message!
Class rep she is at the present,
President will to be in future!!!
On her left is her lovely Agnes,
Whom I guessed was Thai at first time.

Turn to face the class I’m shaking,
Cannot think anything but I see…
Antoinette’s talking to Somwrita,
Venita Mukkerjee’s pulling the curtain,
Natasha’s copying Prita’s note
There a knock from Prachi our model
Follwed by Komal,LTS messenger!

Here my eyes will judge you, people
Antoi’s face and eyes are like my sister!
Shalini, our dear president
Like my friend by face and her hair.

Here my mind mistaken call you some
Divya Hans,Vivian Stephen
Do you think their name almost same?
I know them by face but not name
Shame on me, need to take a lesson on your name
To make sure next we meet I could say

Beside me, Dishikha, the tallest
Who is great always in the press.

Final year, but not final meet
Will you keep promise to meet next?
Adeline, Evelyn, Prinyanka
Nikita Simi and Lily.

If you get married invite me
I would be your quest from Thailand.
So, please Prachi, Gunjan, Khuhboo
I wish you get one after soon.

First said hi, now say bye to you all.
When time calls I’ll come to say more.
If you go to my place, don’t forget
Ever let me know where you are.
Keep in touch with me this email:
urai.2530@hotmail.com

***I will miss you all***** Thanks for sharing the moment.

Rain....20/01/2009( was absent today actually!!!)

Saturday, January 17, 2009

หากวันหนึ่ง........ If one day.......


หากวันหนึ่งไม่มีอะไร....จะเหลืออะไรมั้ย?
หากวันหนึ่งมีทุกอย่าง....จะยังคงต้องการอะไรมั้ย?
หากวันหนึ่งเหลือเพียงสิ่งเดียว....จะเอาดีกว่าไม่เอามั้ย?
หากวันหนึ่งไปไม่ได้สวยงาม....จะยังคงหวังให้สวยกว่ามั้ย?
หากวันหนึ่งพระอาทิตย์ลืมขึ้น....เธอจะลืมตื่นกับฉันมั้ย?
หากวันหนึ่งเธอไม่เห็นฉัน.....เธอจะรู้ไหมว่าฉันเป็นเหมือนดั่งดวงดาวในเวลากลางวัน
หากวันหนึ่งไม่มี...หนึ่งวันวันนี้ทำไมมีไว้หรือ?
"หากวันหนึ่งมี"..."เพราะวันหนึ่งน่าจะมี"...จึงหล่อเลี้ยงชีวิตฉันวันนี้ได้อย่างมีความหวัง

เรนไร 18/01/2009
Indian Time 1.:46

Friday, January 16, 2009

หยินและหย่างในจีนและม้ง


ม้งเราเชื่อว่าในจักรวาลนี้ประกอบไปด้วยสองสิ่งหลักๆคือ ดินแดนที่สว่าง หรือ ดินแดนที่เรียกว่า "yajceeb" ในภาษาม้ง และดินแดนที่มืด หรือดินแดนที่เรียกว่า "หยิน" หรือเขียนในภาษาม้งคือ "Yeebceeb" เป็น เที่น่าสนใจสำหรับฉันมากในการที่มาเจอคำสรุปว่า การเรียกดินแดนของที่สองงที่นี้้ของม้งนั้นตรงกับการเรียกของจีนในลัทธิของเต๋า คือ "หยิน กับ หย่าง" ทำให้ฉันกำลังค้นหาอยู่ว่า แนวความคิดของการเรียกนี้มีอะไรเป็นหลักในการแยกแยะและแบ่งว่าอะไรคือหยิน และอะไรคือหย่าง

ม้งเรามีหลักการคิดที่แตกต่างจากลัทธิเต๋าคือ ดินแดนที่สว่างคือดินแดนของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุยษ์ และสิ่งต่างๆทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับชีวิตของมนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ น้ำ ดิน ก้อนหิน และวิญญาณของบรรพบุรุษ รวมถึงผีที่คุ้มครอง ผีที่ให้พิษให้ภัย และผีสางต่างๆที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ในขณะที่หยินก็จะพูดถึงความเชื่อที่เกี่ยวกับดินแดนอีกแห่งหนึ่งของมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่ ที่ที่ของผู้อยู่เบื้องบนอาศัยอยู่ อีกคำหนึ่งคือ ดินแดนที่คนที่มีชีวิตอย่างเรามองไม่เห็น ยกเว้ณ เมื่อมีการเข้าทรงหรือหมอดู หรือทำพิธีอะไีรสักอย่าง เนื่องจากดินแดนนี้เป็นดินแดนที่เรามองไม่เห็น เราจึงเรียกว่าดินแดนแห่งความมืด

หลักการคือของลัทธิเต๋าคือ หยินและหย่าง หยินเป็นตัวแทนของ"ความมืด" ส่วนหย่าง คือ "ความสว่าง" โดยหยินและหย่างจะอยู่รวมกันเสมอ นั่นหมายความว่า ที่ที่มืดและสว่างจะอยู่ด้วยกัน หากไม่มีความมืด แสงก็จะไม่มี หากไม่มีแสง เราจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าที่ไหนมืดบ้าง ในความหมายที่ลึกลงไปลงนั้นหยินและหย่างไม่ได้แปลไว้แค่นั้น แต่มีความหมายรวมถึงสิ่งทุกสิ่งที่อยู่ได้รอดมาเพราะความพอเพียงและสมดุล โดยสิ่งต่างๆสองสิ่งนี้มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกัน หากขาดกันเมือ่ไหร่ นั่นหมายความว่า ความกลมกลืน ความสมบูรณ์ และความเป็นไปตามธรรมชาตินั้นก็จะหายไปทันที และแล้วปัญหาก็จะตามมา ตราบใดที่ความเท่ากัน กลมกลืนของสองสิ่งนี้ไม่มีให้กัน
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น กลางคืน (หยิน) และกลางวัน(หย่าง)จะมีเวลาที่เท่ากันอยู่แล้ว หากไม่เท่ากันล่ะ จะเป็นอย่างไร
ท้องฟ้า(หยิน)กับพื้นดิน(ย่าง)ต้องมีสองสิ่งนี้ ทุกอย่างในโลกถึงเรียกว่าโลกได้ ,ผู้ชาย(หยิน)กับผู้หญิง(หย่าง)ต้องมีสองสิ่งนี้เพื่อความเป็นไปของชีวิตมนุษย์, ฟื้น(หยิน)กับไฟ(หย่าง)ต้องมีฟื้นถึงมีไฟ หากขาดไฟ ก็คงไม่เรียกว่าฟื้น เป็นต้น

สรุปคือ หยินและหย่างของม้งและหยินและหย่างของเล่าจื้อมีความแตกต่างกัน หยินและหย่างของม้งอยู่กันคนละแห่งหน แยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน แต่ส่วนของเล่าจื่อนั้น หยินและหย่างนั้นจะแยกออกจากกันไม่ได้ แยกกันเมือ่ไหร่ เมื่อนั้นอีกสิ่งหนึ่งก็จะไม่สมบูรณ์และสมดุลทันที และแล้วนำมาซึ่งปัญหา

เพิ่มเติมฝากเตือนใจวันนี้หน่อยนะ..."ความรักคู่กับความเกลียดชัง หากเมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่งหนึ่ง...ความสมดุล เท่ากัน และธรรมชาติของสองสิ่งนี้ก็จะหายไป ปัญหาย่อมจะเกิดขึ้น ฉะนั้นพึงระลึกไว้นะเธอคนดี
"รักให้พอดี และรักคนที่ดีพอ"

เรนไร...คนเดิมๆ และแสนจะดึกดำบรรพ์คนนี้อีกแล้ว

16 January 2009. Indian Time:11.11pm

Thursday, January 15, 2009

HELLO THE WORLD!!!!!



13th January 2009 at nine o'clock is my nephew's birthday and birth time.
My sister had given birth to a little dear one of ours.
Yesterday only that I was informed. My mother wants to name his name as " Nraug Hmoob"
in Hmong language,meaning " a young handsome Hmong man", a man, or a lucky man."

She told earlier that if we got a girl child,then she would name her as "Nkauj Hmoob"

I yesterday he cried "Hi" to me,I was greeted by his cry. Wow!,it's a human being.
He has life ,he is ready to grow ,fight,face and deal with this complicated world.
He is young by day,and I am young by year. We are that far different.
I am supposed to be your
mother, and you are my son.

Life has come so far to go back ! Life has come near to the end. However,life at the moment is the most important one! You will be what tomorrow depends on what you are now, what you are now is what you were yesterday.

Be aware of this fact,the world. Be awake not only on the day but the night too. Life is as short as day. Take your life into your hand and walk on your path with faith in yourself and God,strength and love.

Life will slowly grow when time slowly passes out. My life is quite short as I have no chances to be and to have such time like those who are the same age.

"Hello the world",my nephew said.
"Welcome you to this world" I replied him.

Tuesday, January 13, 2009

แต่งงานแล้วหรือ


ท่ามกลางผู้คนน้อยนิด ถนนแห่งความสุขที่ไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยังแต่แต่งงานแล้ว
สวมชุดสีขาวยาวสวยลากติดฝุ่นติดดินวิ่งเข้างานวิวาห์กับหนุ่มใดก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก และรู้สึกดีจริงในวินาทีนั้น
จนไม่มีลืมตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ หลังแต่งไม่กี่วินาที ได้ไปฮันนิมูนที่เชียงราย มีรถคันหนึ่งของสามีเรา เจ้ารถนี้จะนำพาเราไปสู่ปลายทางของเรา มีพ่อแม่ และญาติพี่น้องของสามีไปด้วย เราจากที่เคยนั่งหน้ารถกับพ่อแม่ของเรา วันนี้เราไม่ได้นั่ง แต่ได้มานั่งที่กระบะข้างหลัง ทำให้เรารู้สึกว่า" ไม่น่าจะแต่งงานเลย น่าจะอยู่กับพ่อแม่เรา ไม่เหมือนพ่อกับแม่เราเลย" แต่ก็กลับไปไม่ได้แล้ว เราแต่งงานแล้วนิ

การเดินทางไปฮันนิมูนก็เลยดำเนินการต่อไปได้ระยะหนึ่ง แดดเร่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาให้เราไปซื้อน้ำ และตวงน้ำไว้ใช้ระหว่างทาง ไม่มีอะไรใส่น้ำที่จะเอามาใช้ เราก็เลยมาซื้อขวดเปล่าที่ร้านตรงหน้าหอพักที่เราเดินผ่านไปโรงเรียนทุกวันของเรา คนขายไม่ยอมขาย เพราะถ้าซื้อขวดต้องซื้อน้ำด้วย เอาขวดเปล่าไปอย่างเดียวไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ก็เลยไม่ซื้อ แล้วตัดสินใจเดินออกไปพร้อมกับคุณแม่ของเธอ แววตาของฉันมองเห็นรถกำลังถอย ทำให้ฉันคิดว่า "ฉันต้องรีบไปได้แล้ว รถกำลังจะไป"...และแล้วด้วยเหตุใดไม่รู้น้องสาวคนหนึ่งที่นอนกับฉันก็ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ที่ดังลั่นตั้งแต่เช้า แล้วฉันก็สดุ้งตื่นมาพร้อมกับความฝันที่จำแม้นแม๊นดังกล่าว...หากฉันไปถึงสถานที่ฮันนิมูนก่อนถึงเวลาตื่น ฉันคงจำอะไรไม่ได้แล้ว...ต้องขอบคุณสำหรับพี่กวางที่โทรมาหาน้องกุ๊ก แล้วโทรศัพท์น้องกุ๊กอยู่ที่น้องเบียร์

มานึกดูแล้ว...หากวันหนึ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องแต่งงานจริง ชีวิตของเธอจากที่เคยใช้ที่บ้านของเธอจริงๆ กับชีวิตของเธอกับที่บ้านของสามีเธอคงไม่เหมือนกันแน่ หรือจะเหมือนเอ่ย?....ไหนสาวๆที่แต่งงานแล้ว ลองมาแบ่งปันความคิดเห็น หรือประสบการณ์ของคุณหน่อยซิ

เรนไร 13.01.2009

Friday, January 9, 2009

วันเด็ก


วันเด็กของไทยเราตรงกับสัปดาห์ที่สองของวันเสาร์เดือนมกราคม เรานี้ก็ลืมไปนานแล้วสำหรับวันเด็ก จนวันหนึ่งพี่ชายคนหนึ่งแวะมาถามว่า เค้าควรไปไหนในวัน

เด็ก เราเองก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปไหน เลยบอกว่างั้นก็ไม่ต้องไปไหนเลย พอถูกกระตุ้นให้จำได้ว่าเป็นวันเด็ก เราจึงนึกอยากจะบันทึกบางอย่างไว้ในวันนี้
วันเด็กเมื่อสิบปีก่อน เป็นวันของเราจริงๆ แต่วันเด็กปีนี้ก็คงไม่ต่างจากสิบปีที่ผ่านมาคือ ไม่ใช่อีกวันหนึ่งเหมือนวันปีใหม่ที่ไม่ใช่วันของฉันอีกแล้ว เราผ่านมา

แล้วในช่วงอายุของความน่ารักและความโปร่งใสของแววตา เด็กไม่ว่าจะทำอะไร ความน่ารักก็ยังมีให้เราแอบอมยิ้มอยู่ แต่ผู้ใหญ่ละซิ ความไร้เดียงสา การไม่

โกหกได้สูญหายไปกับการเจริญติบโต นี่แหละเน้อทำให้ฉันคิดเสมอว่าว่า ธรรมชาติของคนเราจริงๆแล้วดี แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมภายนอกนั่นเองทำให้ธรรมชาติที่

ดีของคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามสังคมภายนอก....แต่ลองคิดดูนะ หากเด็กคนหนึ่งไม่ได้เติบโตในสังคมเลย เขาก็คงไม่สามารถที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ

อย่างแน่นอน สองความคิดไม่ตรงกันนี้ ทำให้ฉันสงสัยเหมือนกันว่า...ธรรมชาติจริงๆของมนุษย์เรานั้นดีหรือไม่

ยังจำได้เสมอว่า วันที่๑๔พฤศจิกายน ที่ผ่านนี้เองเป็นวันเด็กของเด็กอินเดีย คุณครูเราเอาลูกอมมาแจกให้พวกเราเด็กโตคนละเม็ด ฉันยังคงเก็บูกอมนี้

ไว้นะ เก็บไว้ว่าให้ระลึกว่า ในสายตาของผู้ใหญ่ เรายังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่ผู้ใหญ่เค้ายังฝากความหวังเล็กๆน้อยๆอยู่ ลูกอมนี้จะเป็นกำลังใจให้ฉันได้มุ่งต่อไปนะ

วันเด็กวันนี้อาจจะมีเป็นวันเกิดของหลานเราก็ได้ คุณหมอนัดวันที่สิบ น้องชายและน้องสาวที่รักของฉันพวกเขาก็คงไม่ใช่เด็กน้อยผู้น่ารักที่ฉันไม่อยากให้พวก

เค้าเติบโตแล้ว พวกเค้าก็คงคิดไม่ต่างจากฉันนะในวันเด็กนี้ พวกเค้าอย่างน้อยก็คงจะคิดถึงชีวิตวัยเด็กของพวกเราที่ไล่ตกปลา จับปลาจากห้วยไปห้วย เก็บ

โน้นเก็บนี่ที่ขวางทางกลับบ้าน เล่นโน้นเล่นนี่จนตกต้นไม้ รับบาดเจ็บ เป็นรอยแผลเป็นจนถึงทุกวันนี้ แผลเป็นเหล่านี้คงย้ำเตือนความทรงจำของพี่น้องอย่างเรา

ได้เป็นอย่างดี ชีวิตวัยเด็กของฉันไม่ได้ลุกคลีกับคนเพื่อนคนอื่นๆเลย ฉันแทบจะไม่มีเพื่อนบ้านเป็นเพื่อน เพราะญาติพี่น้องฉันหลายคน พวกเราก็เล่นกับพวก

เรากันเอง มีเด็กข้างบ้านที่ชอบมาแอบดูเราเล่นกัน และต่อมาเราก็ยอมรับเขาเป็นเพื่อน จนถึงวันนี้พวกเค้ากลับไปมีครอบรัวกันหมดแล้ว แต่ละคนมีลูกน้อย

กันคนสองคนพร้อมที่จะพาไปเที่ยวเล่นในวันเด็กวันนี้เมือ่สว่างแล้วมั้ง

ตอนแรกว่าไปว่าวันนี้ไม่ใช่วันของเรานะ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว วันนี้แหละคือวันของเรา และวันของเราจริงๆ เราว่าได้มี sense อะไรบางอย่างนะ

ไม่งั้นอยู่ๆวันนี้เราจะไปสัญญากับน้องๆเค้าทำไมล่ะว่าจะทำกับข้าวให้พวกเราเด็กๆที่อยู่ที่นี่ทานกันตอนเที่ยง เพิ่งจะมาอ้อก็ตอนที่รู้ว่าเป็นวันเด็กนี่เอง

วันเด็กนี้เป็นวันของทุกคน ขอให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความสุขกันในวันเด็กนี้นะ ผู้ใหญ่สุข เด็กอย่างเราถึงจะสุขตามด้วย

เมืองไทยจะสว่างแล้ว ตีสี่ตรึ่งแล้ว เราต้องไปพักก่อนนะ วันนี้ยังไม่ได้พักเลย...ขอบคุณวันและคืนที่แบ่งเวลาพักผ่อนให้คนเรา

Wednesday, January 7, 2009

มีสุขได้เพราะลืมทุกข์


เพิ่งจะมารู้จักความสุขก็วินาทีนี้หลังจากขนไขว้จากผู้อื่น และรอรับจากผู้คนแล้วผู้คนเล่า จนสุดท้ายก็ต้องกลับมามองดูตัวเองอีกครั้งจนได้ ความสุขที่แท้จริง

ไม่ใช่ได้มาจากการอยู่กับครอบครัว คนรัก และผู้หวังดี แต่เกิดจากการที่เราลืมตัวเราไปว่ามีความทุกข์แค่นั้นเอง ในทางกลับกัน เราเองจะมีความทุกข์ได้นั้น

เพราะเราลืมความสุข...สรุปแล้วหมายความว่า...อย่ามัวหาความทุกข์และความสุขเลย แต่จงลืมอย่างหนึ่ง แล้วเราจะได้อีกอย่างหนึ่งในขณะเดียวกัน ถ้าเรา

เลือกที่จะสุข จนหรือรวยแค่ไหน ก็จะสุข เรียนแม้จะยากแค่ไหน แต่หากสุขกับมัน ผู้เรียนก็จะสุข จะทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง ตัวเองเป็นเจ้าของของตัวเอง ไม่

มีใครบังคับตัวเองได้นอกจากตัวเอง ตัวเองจะไม่ยอมที่จะให้ความสุขกับตัวเองด้วยการลืมความทุกข์บ้างเลยหรือ? ตัวเองจะไม่ยอมหยุดที่จะเชื่อเลยหรือว่า

ความสุขนั้นต้องค้นหาจากผู้อื่น ตัวเองถึงจะมีความสุข...ถึงทำอย่างนี้ไปวันต่อวัน..ตัวเราเองต้องรัก ห่วง และดูแลตัวเราเอง

วันนี้วันที่เจ็ดเป็นวันพุธ ปกติเราจะมีความสุขที่สุดในวันพุธ แต่วันนี้เราไม่มีความสุขนัก เพราะวันนี้เองที่ความรู้สึกของตัวเองบอกให้เราคิดว่าแล้วได้คำ

ตอบมาว่า"สุขนั่นเป็นเพียงความทุกข์ที่แปลงกายเป็นความสุขย้ำเตือนส่งสัญญาณมาว่า กลับไปสู่โลกของความเป็นจริงที่มีทั้งสุขและทุกข์พอๆกันไม่เหมือนใน

โลกของเทคโนโลยีได้แล้ว เราควรที่จะยอมรับกับสภาพความเป็นจริง ณ นาทีที่เราหายใจอยู่ เราไม่ควรวางแผนชีวิตไปไกลกว่าตอนนี้ เพราะตอนนี้เรายังไม่รู้

ว่าจะก้าวเท้าไหน เราอย่าเพิ่งไปเอาอนาคตมาคิดจนกว่าจะรู้ว่าเท้าไหนควรจะออกก่อนซิ
สรุปแล้วความสุขของเราและความทุกข์ของเราก็อยู่กับเรา ใครทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้เราทุกข์มีน้ำหนักเท่ากัน เราจะไม่ทุกข์ถ้าเราคิดถึงสุข เราจะ

สุขถ้าเราลืมทุกข์ และสรุปแนวทางสำหรับเราเอาไปใช้เป็นแรงใจต่อไปในวันพรุ่งนี้ก็คือ "ความจริงแล้วฉันก็แค่มนุษย์ตัวหนึ่งผู้หลงไหลอยู่ในโลกของการมอง

ไม่เห็นจึงทำให้ฉันมีความสุขนั่นเอง" หากฉันมองเห็นได้ สิ่งนั่นอาจทำให้ฉันตัดสินใจได้เร็วขึ้นและมั่นใจขึ้นกว่านี้ก็ได้ ณ เวลานี้ฉันมองไม่เห็น ฉันไม่มี

ความทุกข์ ฉันจึงมีความสุข พยเจอผู้คนมามากมาย แต่ไม่เคยได้เห็น วันหนึ่งหากฉันสามารถมองเห็นได้ นั่นหมายความว่าฉันอาจทำลายความสุขตัวเองได้

ขอให้คนที่ห่วงเรา เราห่วง เธอ และฉันด้วยมีความสุขกันถ้วนหน้านะคะ

รูปแบบความรักของแต่คนสร้างนิยามการอกหักของแต่ละคนต่างกัน..เราคิดว่าอย่างนั้น


คิดๆในใจในช่วงเวลาที่พอมีให้คิดไปเรื่องเปื่อย นึกถึงภาพของพ่อแม่เราที่อยู่ด้วยกัน ทั้งสุขและไม่สุข แต่ก็อยู่ด้วยกันมาจวบจนวันนี้ ได้ยินเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ทำงานในเมืองนี้ ผู้ซึ่งมีหน้าตา ความรู้ และบุคคลิกที่เหมาะสมที่ได้รับตำแหน่งสูงส่งอย่านั้น ท่านถามเด็กๆวัยรุ่นเกี่ยวกับความคิดเห็นในเรื่องของความรัก และการแต่งงาน โดยท่านได้มีหัวข้อให้เด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้คิดคือ "ตอนเป็นแฟนทั้งสองรักกันอยู่ แต่หากแต่งงานกันไปแล้ว ไม่รัก ต้องทำอย่างไร?" ทันใดนั้นมีเสียงแซวมาจากผู้ร่วมงานของท่านท่านหนึ่งบอกว่า" ดีนะที่ภรรยาของท่านไม่อยู่ ไม่งั้นแย่แน่" เด็กวัยรุ่นที่เหลือไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่โห่กับความคิดเห็นนั้น ...และแล้วท่านก็เลถามต่อมาอีกว่า" อกหักเป็นอย่างไร?" น้องวัยรุ่นคนหนึ่งอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมว่า "อกจะหักได้ก็ต่อเมื่อเราถูกทิ้งคนอื่นทิ้ง" อีกคนหนึ่งช่วยเพิ่มเติมว่า" อย่างนี้ต้องถาม...ซิ อกหักได้หลายเดือนแล้ว" แต่ละคนมีหัวใจที่ไม่เหมือนกัน น้อยคนมีหัวใจที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มากคนที่มีหัวใจที่อ่อนไหวแต่กำเนิด แต่ละคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นนิยาม ทัศนคติ และคุณค่าของความรักของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป เราก็เลยคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น อาการอกหักของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกันไป ท่านผู้ใหญ่ท่านนี้ถึงได้ถามพวกเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้

อกหักก็คงไม่ต่างจากการอย่าร้าง เราว่าเขาคนนั้นคือคนที่ใช่แล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีปัญหาอยู่เสมอระหว่างคนสองคนเมื่ออยู่ร่วมกัน...ฉะนั้นเราไม่ควรคิดมากไปเลยเมื่ออกหัก อกหักและการอย่าร้างคงไม่ต่างกันเท่าใดนัก หากคนที่ยังไม่เคยแต่งงาน เมื่อไหรก็ตามที่มีปัญหาหัวใจ ก็คงไม่มีสิทธิ์ไปใช้คำว่าอย่าร้าง แต่ต้องใช้คำว่า" อกหัก" เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะของตัวเอง อกหักการจากกันของสองคน การอย่าร้างก็เช่นกัน เป็นลักษณะของการไปกันไม่ได้ของคนสองคนที่แต่งงานไปแล้วอยู่ด้วยกันไม่ได้ จึงจำเป็นต้องจากลากันไป อกหักและอย่าร้างอาจเกิดขึ้นด้วยความพอใจของอีกคนหนึ่ง แล้วอีกคนหนึ่งไม่พอใจก็ได้ หรืออาจให้ตัวเองหรืออีกคนหนึ่งหรือทั้งสองคนเสียใจหรือดีใจก็ได้หรือเปล่าเราไม่ทราบ รู้แต่ว่าพวกเขาจากกันเหมือนกับอกหัก

หากมีโฮกาสอกหักก็ลองๆอกหักกันดูนะ อาจเป็นอาการเงีบยๆที่ทำร้ายตัวเองมากที่สุด แต่ในทางที่ดีที่สุดก็ได้ แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่มีโอกาสอกหักเหมือนวัยรุ่นแล้ว อย่าคิดที่จะอย่าร้างนะ เพราะว่าเราอยากเห็นพวกคุณมีความสุขกัน แต่งกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันเป็นร่มเป็นเงาให้กันและกันเป็นแบบอย่างความรักที่ดีให้กับพวกเรา และคนรุ่นหลังต่อไป


สรุปคือไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรในวันนี้...เลยเขียนเรื่อยๆ เล่นๆ คิดอะไรออกก็เขียนไปตามอารมณ์ จนไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อเรื่องว่าอย่างไรดี รู้แต่ว่าความคิดของตัวเองตอนนี้น่ากลัวจังเลย...ไม่เหมือนที่พ่อแม่คิดเสียเลย

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย