Saturday, February 21, 2009

วันหยุดราชการแต่จัดงานวันโปรโมทวัฒนธรรมไทยให้วิทยาลัยต่างๆในกัลกาต้าที่มีเด็กไทยศึกษา

ด้านล่างที่หมดนี้คือภาพช้าของกิจกรรมของการจัดกิจกรรมแสดงอาหารไทย และภาพยนต์ไทยให้กับวิทยาลัยต่างๆที่มีนักศึกษาไทยกำลังศึกษานะคะ ฉันรู้สึกงานนี้เป็นงานเลี้ยง หรืองานพบปะสังสรรค์ หรืองานขอบคุณวิทยาลัยต่างๆที่รับเด็กไทยเข้าศึกษา ก็เลยรู้สึกว่างานเดียวแต่มีทุกรส สนุก ซีเรียส และตลกบ้าง จนเหมือนเป็นการสร้างความสัมพันะ์ที่ไม่มีรูปแบบสักเท่าไหร่นัก แต่ได้ผลที่น่าพอใจอย่างดีทีเดียวนะคะ เห็นได้จากใบหน้าและการกระทำต่างๆของผู้คนต่อไปนี้ที่แสดงถึงความประทับใจในวัฒนธรรมไทย


เพื่อนจาก Aushustsoh college จ้า

สาว St.Xavier and Loreto College ประชันกันจ้า..ดูดีๆมีสาวอินเดียแค่คนเดียนะ


นี่นะคุณครูที่ฉันรู้จักแต่หน้าไม่รู้ชื่อมาพร้อมกับเพื่อนๆรุ่นน้องอีก ๖ คนจากวิทยาลับของเรา..ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กดีนะที่ได้มา..เกือบทุกคนได้ไปเมืองไทยมาแล้ว สับดาห์ที่แล้วน้องคนหนึ่งตัวแทนของรัฐกัลกาต้าเพิ่งจะไปเที่ยวเมืองไทยมาตามการจัดของกระทรวงการต่างประเทศเพื่อโปรโมทประเทศไทยในด้านของวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว...การจัดกิจกรรมอย่างนี้ทำให้คนนอกเข้าใจประเทศไทยมากขึ้นนะคะ


Free พรีเชนเตอร์เม็ดขนุน!!!


ขอมั้งกะเค้าซิ หลังทานข้าวเสร็จ ช่วยดู(ดูจริงๆ ไม่ได้ทำเลย)แม่ครัวเค้าทำขนมครกเองจ้า งานนี้ยกนิ้วให้พี่คนนี้เลยพวกเรา


อาหารไทยที่ให้เด็กไทยและเด็กอินเดียลิ้มลองกัน ได้จัดในลักษณะอาหารบุฟเฟ่ คนหนึ่งทานหลายรอบเลยค่ะ แม้แต่เพื่อนๆคนอินเดีย ทุกคนประทับใจอาหารไทย


หนังที่ถูกเปิดตัววันนี้เป็นหนังดีที่เชื่อมเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี "โหมโรง"
หนูน้อยทำหน้าตาไม่พอใจพี่หรือไงหา? กิกิ




ข้างบนนี้เป็นสภาพภายในของโรงหนังในบ้านทีี่ฉันมองจากด้านนอกของอีกห้องหนึ่ง

เครื่องเบญจรงค์ที่ถูกจัดไว้แสดง...น่าเสียดายที่เรามีเครื่องสวยๆเหล่านี้โชว์อยู่ในงาน แต่หามีคนที่มีความรู้ไม่มาอธิบายของเหล่านี้



กุ๊กสมัครเล่น!!! หลังกุ๊กแท้ได้ทำการเลร็จเรียบร้อยแล้ว ^-^





อร่อยหรือเปล่าน้อง ตุ้มยำกุ้ง!! หลังจากอดอยากมาตั้งแต่เดือนมกราคมปีใหม่countdown. มื้อแรกของปีแรกสำหรับฉันเองนะ..แซ๊บอีหลีเด้อ..


กุ๊กประจำบ้านโรงหนังวันนี้ และวันสำคัญที่พวกเรามาทาข้าวบ้านของท่าน..กำลังสาธิวิธีการทำต้มยำกุ้งให้เพื่อนๆและอาจารย์ต่างๆที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้



ก่อนกลับมพวกเราและนักศึกษาวิทยาลัยอื่นมาร่วมกันสร้างภาพกัน...



กลับบ้านแล้วยังกลับมาอีกพร้อมกับน้ำใจเล็กน้อยจาก Aushootsoh College คนเค้ากลับไปนานแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเค้าจะกลับมาอีก...ปลื้มมากท่านกงสุลเลยยกขนมไทยให้สำหรับความน่ารักของคุณครูและนักศึกษาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกัลกาต้า



Thanks very much for coming!!! ^-^

Friday, February 20, 2009

ภาพผนังรณรงค์ความยุติธรรม


What is this meant???????????

I can't read Hindi neither Bengali!!!! How can I know!!! I know nothing indeed.


เห็นเข้าไปลึกเข้าๆไปในถนนสายหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นทางหนึ่งที่เข้าไปยังริมแม่น้ำ"Hoogli" ที่จะไหลรวมกับแม่น้ำคงคาก่อนที่จะลงสู่ออ่าวเบงกอล...น้องสาวคนนี้บอกว่าเหมือนฝนังสูงๆสองด้านของถนนเป็นโกดังอะไรสักอย่าง..และแล้วก็ตัดสินใจเดินถอยออกมาพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า รูปภาพที่เต็มผนังสองข้างนั้นหมายถึงอะไร จนกระทั่งเมือ่สักครู่นี่เองที่ฉันเปิดดิกชั่นนารีหาศัพท์ตัวแรก แล้วจึงได้ความหมายว่า" ให้ลงคะแนนเหมือนกับสัญลักษณ์นี้"

อะไรอยู่ใต้สะพาน(2)

ขยับเท้ามาอีกสะพานหนึ่งที่อยู่ไกลมากจากสะพานแรก"Vidyasagar Bridge" เราเดินด้วยเท้ามาด้วยความกระหายน้ำ ไม่มีน้ำให้ดื่มเลย..มีแต่ชาและขนมปังขายอยู่เป็นร้านเล็กๆข้างทาง เดินตรงมาโดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวถ้ากลับจะกลับอย่างไรดี และแล้วก็มาถึงจนได้ แต่ก่อนที่จะถึงสะพานเป้าหมายเรา"Robindra Bridge" ต่อเชื่อมสะพานนนี้ไปยังสะพานนั้น ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นภาพรถนิทรา ขณะที่เพื่อนอีกคนตื่นเต้นเร้าใจกับการวิ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงสะพานเป้าหมายของเรา เห็นแล้วรู้สึกเลยว่าชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากรถคันเหล่านี้ สักวันหมดประโยขน์ หมดเรี่ยวหมดแรง เราก็คงต้องกลับมาพักผ่อนที่เป็นอมตะอย่างนี้ แต่รถหลายๆคันนี้โชคดีกว่าชีวิตของฉันเสียจริง ตรงที่ว่าแม้รถเหล่านี้เก่า ใช้งานไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ถูกละเลย ยังมีคนสนใจที่จะถ่ายรูปมาให้คุณได้ดู...


ใต้สะพานมีอะไรบ้าง

วันนี้ไปเที่ยวกับน้องสาวคนนหนึ่ง มีเป้าหมายคือสะพานตัวนี้ แต่ไม่รู้ชื่อแน่ชัด อยู่ไกลออกไปจากตัวเมือง ไม่รู้ต้องนั่งรถบัสคันไหนไป แต่สุดท้ายก็ได้รถหลังที่นกชนิดหนึ่งที่ฉลาดที่สุดในโลกจะหยดอุจจาระของมันใส่เสื้อคนบางคน เป็นอย่างนี้อยู่แล้วค่ะ แม้เราจะระวังสักแค่ไหน นกอยู่สูงกว่าเรา เราสู้นกไม่ได้ค่ะ นั่งรถมาเรื่อยๆจนกระทั่งเลยสะพานมา จะข้ามไปอีกฝั่ง พนักงานเค้าจะเก็บค่าผ่านด่าน เราพอดีถึงเป้าหมายพอดี เลยลงรถหมดแค่คนละ6 รูปีเอง และแล้วก็ไปเจอสิ่งต่างๆที่ๆม่น่าคาดคิดว่าจะมีอยู่ใต้สะพานนี้ บ้านนี้เมืองนี้ไม่มีเนื้อหมูขายอยู่ทั่วไปเหมือนเนื้อแพะ ไก่ และวัว แต่ดันมีหมูมากมายถูกเลี้ยงแบบปล่อยอยู่แบบธรรมชาติที่ดูแล้วเนื้อหมูไม่น่ากินเลย..สะพานนี้มีชื่อว่า "Vidyasagar Bridge"






คาดว่าบ่อเล็กบ่อน้อยนี้สำหรับหมูตัวเล็กตัวใหญ่ด้านล่างนี้ เพราะมีเพียงหมู่เพื่อนร่วมโลกชนิดนี้อยู่ตรงแถบริมน้ำนั้น


สู้หมูที่บ้านเราได้ไหมเอ่ย...หมูอินเดีย...เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่...ไม่เปิดโลกมั่งเลย

Wednesday, February 18, 2009

นกอะไรบอกฉันที


Sparrow!!
How do you call this bird in your language?

นกกระจอกในภาษาไทย แล้วม้งล่ะ...เรียกว่าไงน้อ...ฉันไม่รู้เลย...

ชื่อดอกไม้ในภาษาม้งที่ฉันควรรู้จัก...สวนRamkrishna

เช้าตื่นมากับความไม่สดใสสักเท่าไหร่ หลังทานข้าวเสร็จเรีบยร้อย เลยขอเวลาทำใจกับดอกไม้ต่างๆในสวน พรางคิดได้ว่าดอกไม้ต่างๆในสวนนี้มีแค่บางชื่อที่เรารู้จัก ที่เหลือไม่รู้จักเลย เพราะไม่ใช้ชื่อภาษาม้งเลย ส่วนใหญ่ก็ทับศัพท์เป็นภาษาไทยหรือภาษาไทยที่ทับศัพท์จากภาษาอื่นมาอีก วันนี้เลยขอนำรูปที่เก็บมาถามเพื่อนๆ หากใครพอรู้ก็ขอให้ให้ชื่อมาหน่อยนะคะ จะเป็นพระคุณยิ่ง



ดอกดาวเรืองหรือคำพู่จู้นี้เราเรียกว่า"ป้างซ้ว" /pa:ŋ tƒua/

พืชต้นนี้ถูกจัดเป็นวัชพืชในสวนนี้ แต่ฉันคิดว่ามันก็สวยดีนะ เลยจัดเป็นดอกไม้ด้วยละกัน ว่าแต่ว่าชื่ออะไรเอ่ย?

กลายเป็นดอกไม้ในสวยนี้ไปเสียแล้ว "ห๋อ-สจ๋อ" /Ho:-ntso:/

เรียกว่าอะไรเหรอดอกนี้ ชื่อภาษาอะไรฉันก็ไม่รู้เลย!!! ดอกหนอนละกันน้อ..!!! เหมือนตัวหนอนเลลย


"ป้างเล๋า-กอ๊า" หรือเขียนเป็น Phonetic script คือ /Pa:ng-lau-gna:/


ดอกเข็มเราเรีกว่าอะไรเอ่ย??
แปลตรงตัวเลยหรือเปล่า " ป้างโก๊ง"


__________________________________________________________
สวนRamkrishna ในมุมหนึ่ง

Monday, February 16, 2009

รักที่สร้าสรรค์ในวัยเรียน



เกษม จันวดี อาจารย์ชายมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ก็ร่วมสะท้อนมุมมองว่า... การมีความรักก็ใช่ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่กับวัยรุ่นก็จำเป็น ต้องตระหนักให้มากหน่อย ต้องไม่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ต้องไม่ขาดสติ ไม่มองไปที่เรื่องเพศเพียงจุดเดียว ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหามากมายสำหรับความรักของวัยรุ่น ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องความรักก็คือเรื่องการเรียน การศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต

“ความรักที่ดีนั้น ต้องให้คุณค่าของความรักมาก ๆ รักแบบให้เกียรติกัน ช่วยกันเรียนหนังสือ คอยให้ความช่วยเหลือกันและกันในทุก ๆ ด้านที่ดี ๆ จะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องไม่ให้ตัวเองและคนอื่นเสียหายหรือเดือดร้อน ต้องคบกันอย่างมีสติ ไม่หลงไปกับอารมณ์ สิ่งยั่วยุ สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ต้องตั้งสติ รู้จักคิดและกระทำในสิ่งที่ดี ถ้ารักกันอย่างถูกวิธี ก็จะเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์”

สำหรับเพื่อนๆที่ติดแชทกับเพื่อนทางอินเตอร์เนต เราควรจะไว้ใจคนผู้นี้ดีหรือไม่อย่าให้อารมณ์มาเหนือเหตุผล ที่สำคัญคุณจะต้องจำเอาไว้เสมอว่า อย่าตกหลุมรักใครเพียงแค่ click mouse.

เดลินิวส์ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 เตือนมาด้วยความหวังดีอย่างนี้อีก
ตัดบางส่วนที่สำคัญจากข่าวมานะจ้า

เทคนิคการสร้างมนุษย์สัมพันธภาพ ( Human Relations Technique) โดยคุณพุทธินันท์


เทคนิคการสร้างมนุษย์สัมพันธภาพ
( Human Relations Technique)
ความนำ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (social animal) ที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นพวก เป็นสังคม เพราะมนุษย์กับสังคมเป็นสิ่งควบคู่มาตั้งแต่อุบัติมนุษย์ขึ้นมาในโลก จะเห็นว่ามนุษย์ไม่อาจจะอยู่โดดเดี่ยวได้ มนุษย์จะต้องติดต่อประสานงานกัน ต้องพบปะพูดคุยกัน ต้องทำกิจกรรมร่วมกัน และสิ่งสำคัญคือต้องพึ่งพาอาศัย ซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด ตลอดจนทำให้กิจกรรม และการงานต่างๆ ประสบผลสำเร็จ การที่มนุษย์จะพึ่งพาอาศัยกันนั้น มนุษย์จะต้องรู้จักการให้และรับด้วยไมตรีจิต ดังโคลงโลกนิติที่ว่า
ให้ท่านท่านจักให้ ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปอง นอบไหว้
รักท่านท่านควรครอง ความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้ แต่ผู้ทรชน
จึงเห็นได้ว่า การพึ่งพาอาศัยกันอยู่ บนพื้นฐานของความเห็นอก เห็นใจ ซึ่งกันและกัน เป็นการสร้างไมตรีจิตต่อกัน หรือ เป็นการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั่นเองในการใช้เทคนิดเพื่อการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ นั้นมีวิธีการและขั้นตอนหลายอย่างในทางวิชาการเห็นว่า แต่ละท่านได้เสนอเทคนิควิธีการที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละคนต้องพิจารณาเลือกใช้เทคนิควิธีการที่เหมาะสมกับตัวท่านเอง บางท่านยังไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ ก็จะต้องฝึกสร้างมนุษย์สัมพันธ์ให้เกิดขึ้น บางท่านอาจมีมนุษย์สัมพันธ์อยู่บ้างแล้ว ก็ควรเสริมสร้าง และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตงาน และการเป็นในสังคมมนุษย์ต่อไป
มนุษย์สัมพันธ์ เป็นเรื่องของสังคม ความสุภาพอ่อนน้อม มารยาทผู้ดีง่าย ๆ และการปรับตัว แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ซับซ้อน และละเอียดอ่อนที่สามารถทำให้คนอื่น รักใคร่ชอบพอได้
การทำให้คนอื่นรักใคร่ชอบพอ นับถือ ศรัทธาและให้ความช่วยเหลือเราทั้งในด้านส่วนตัวและกิจการงานนั้น นับว่าเป็นสิ่งไม่ง่ายนัก ต้องอาศัยหลักวิชาการและศิลปะของการสร้างมนุษย์สัมพันธ์เป็นอย่างยิ่ง ดังคำกลอน (คติสอนใจ) ที่ว่า
ผูกสนิทชิดเชื้อนี้เหลือยาก ถึงเหล็กฟากรัดไว้ก็ไม่มัน
จะผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์ ไม่เหมือนพันผูกไว้ด้วยไมตรี
จากคติสอนใจดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นว่า การทำให้คนอื่นรักใคร่นั้น แม้จะไม่ใช้เหล็กฟากเส้นโตๆ หรือเสน่ห์มนตรา ก็ไม่อาจผูกใจคนไว้ได้ นอกจากการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่านั้น ยิ่งสังคมปัจจุบัน คนมีความซับซ้อน มนุษย์สัมพันธ์ก็มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น
ในการใช้ทักษะชีวิต เพื่อความสุขและความสำเร็จของชีวิตนั้น เทพ สงวนกิตติ (๒๕๔๕ : ๑๐) ได้ให้ความเห็นว่า
ชีวิตที่มีความสุข ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จแต่ไม่มีความสุข และจะดีที่สุด ถ้าชีวิตประสบความสำเร็จและมีความสุข จะเห็นได้ว่า ชีวิตจะประสบความสำเร็จและมีความสุขได้นั้น ต้องรู้จักผู้อื่น การที่จะรู้จักผู้อื่นได้นั้น ต้องมีเทคนิคในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ ดังคำกล่าวที่ว่า นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อนฝูง ขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้


การสร้างความรู้สึกที่ดีเพื่อสร้างมนุษย์สัมพันธ์
วิธีการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง เพื่อการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีนั้น ควรถือปฏิบัติดังนี้ .”จรูญ ทองถาวร (๒๕๓๖ : ๘๘) อย่าผัดวันประกันพรุ่ง จงสร้างความรู้ว่า ฉันมีความสุข ฉันมีความสุขกาย สบายใจ ฉันมีความสุขจริงๆ ฉันมีความสุขที่สุด ความสำเร็จครั้งแรก ย่อมนำความสำเร็จครั้งต่อมาให้ มุ่งความคิดให้แนวแน่ ควบคุมตนเอง กำหนดโชคชะตาของตนเอง พร้อมที่จะมีความสำเร็จ เจาะจง แน่วแน่ ความสุขคือ เจตคติที่ดี ปัญญานำมาซึ่งความมั่งคั่ง มุ่งมั่นตามมาดหมายจนได้มา ถ้าทำให้คนอื่นมีความสุข เราก็มีความสุขด้วย จงกล้าตั้งความหวังอันสูงส่ง จงเป็นผู้สร้างสรรค์ตนเอง จงค้นหาขุมทรัพย์ที่แท้จริงในชีวิต ใช้พลังมุ่งมั่นของท่านอย่างเต็มที่ จงเชื่อว่า ท่านทำได้ แล้วท่านจักทำได้ ถ้าท่านต้องการผลสำเร็จ ท่านต้องตั้งใจจริง เตรียมพร้อมสำหรับวันหน้า จงทำสิ่งที่ถูก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” นักจิตตวิทยาเชื่อว่า ความสำเร็จของชีวิตเกิดจากความพยายาม ๙๕% เกิดจากความบังเอิญ หรือพรสวรรค์ ๕ เปอร์เซ็น
จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เราเห็นว่าเราต้องมีความเชื่อ ความมุ่งมั่น ว่าเราทำได้ ก่อนแล้วเราจึงจะทำได้ เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต ดังบทประพันธ์ของ ว. วชิรเมธี ที่ว่า

- สิ่งที่ควรมี คือ สติปัญญา - สิ่งที่ควรแสวงหาคือ กัลยาณมิตร
- สิ่งที่ควรคิดคือความดีงาม - สิ่งที่ควรพยายามคือการศึกษา
- สิ่งที่ควรเข้าหา คือนักปราชญ์ -สิ่งที่ควรฉลาด คือ การเข้าสังคม
-สิ่งที่ควรนิยม คือความซื่อสัตว์ -สิ่งที่ควรตัดคือ อกุศลมูล
-สิ่งที่ควรเพิ่มพูน คือ บุญกุศล -สิ่งที่ควรอดทนคือการดูหมิ่น
-สิ่งที่ควรได้ยินคือ พุทธธรรม -สิ่งที่ควรจดจำคือ ผู้มีบุญคุณ
-สิ่งที่ควรเทิดทูนคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ – สิ่งที่ควรขจัดคือความเห็นแก่ตัว
-สิ่งที่ควรเลิกเมามัวคือ การพนัน – สิ่งที่ควรสร้างสรรค์คือ สัมมาชีพ
-สิ่งที่ควรเร่งรีบ คือการแทนคุณบุพการี -สิ่งที่ควรทำทันทีคือทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ดังนั้น การที่เราจะสร้างมนุษย์สัมพันธ์ ให้เกิดขึ้น เป็นนิสัย สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ดี นอกจากจะมีเทคนิคที่ดีแล้ว ต้องรู้จักตนเอง ปรับปรุงตนเอง พัฒนาและฝึกฝนตลอดเวลา โดยการปฏิบัติทำวันนี้ให้ดีที่สุด


ใช้เทคนิคการสื่อสารในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
การติดต่อสื่อสาร เป็นปัจจัยสำคัญในสร้างมนุษย์สัมพันธ์ ฉะนั้นควรมีเทคนิคในการสนทนา ซึ่งเทคนิคการสนทนามี RALR ๔ ประการคือ (หลุย จำปาเทศ อ้างใน จรูญทองถาวร ๒๕๓๖ :๘๘)
๑.RAPPORT = การสร้างให้เกิดความอุ่นใจ
๒.Asking skill = การเสริมทักษะในการถาม
๓.Listening skill = การเสริมทักษะในการฟัง
๔.Restatement = การทวนคำพูด
การสร้างให้เกิดความอบอุ่นใจ ถือว่าเป็นลักษณะหนึ่งของ การแสดงความมีน้ำใจ มีด้วยกัน ๓ ประการ
๑.การสร้างให้เกิดความอบอุ่น กับตัวผู้ฟัง คือ การใช้คำพูด ใช้สายตา หรือกิริยาท่าทาง ในทางบวก การยิ้มแย้ม แจ่มใส ที่แสดงออกมาทั้งสายตา ท่าทาง คำพูด ที่บ่งบอกถึงการมีไมตรีจิต ต่อกัน
๒.การสร้างให้เกิดความอบอุ่นใจกับสิ่งของ คือเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความเป็นกันเอง ชมสิ่งของเขา สิ่งดีๆของเขาเป็นต้น
๓.การสร้างให้เกิดความอบอุ่นใจ กับครอบครัว คือการพูดถึงครอบครัวของเขาในทางที่ดี การพูดนั้นทั้งท่าทาง และคำพูดต้องดูจริงใจ ให้เขารู้สึกว่า เรารักใคร่ และเอ็นดูครอบครัวของเขาจริงๆ เช่น ลูกของคุณเรียนเก่งนะ
Asking skill คือการเสริมทักษะในการถาม ถือว่าเป็นการชักชวน ซึ่งมีหลักดังนี้
๑.ถามสิ่งที่เขาเด่น คือ เราต้องดูว่า เขามีความดี จุดเด่นอะไรบ้าง เช่น เรียนเก่ง เล่นฟุตบอลเก่ง เราพยายามถามหรือพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เขาภาคภูมิใจและอยากคุยกับเรา
๒.ถามในสิ่งที่เขาชอบ คือ ต้องดูว่าเขาชอบอะไร การชอบนี้เมื่อพบกันใหม่ๆ จะค้นหาไม่ได้ ดังนั้นเราควรถาม เขาทำงานอดิเรกอะไร เพราะงานอดิเรกของเรานั้น ใครทำสิ่งได ก็แสดงว่าชอบสิ่งนั้น เช่นถามว่า ชอบเล่นกีฬาอะไร บางคนชอบเล่นฟุตบอล เราก็พูดถึงเรื่องฟุตบอล เป็นต้น
๓.ถามเกี่ยวกับเรื่องแปลกใหม่ คือ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นข่าวน่าสนใจ ในปัจจุบัน เช่นทางมหาวิทยาลัยที่กำลังเรียนอยู่ กำลังมีกีฬา ก็พูดเรื่องกีฬา หรือ กำลังเลือกตั้ง ก็พูดเรื่องการเลือกตั้ง
๔.ถามเพื่อให้เขาระบายความทุกข์ พูดเจาะลึกให้เขาได้ระบายความรู้สึกแล้วให้คำแนะนำปรึกษา กรณีใช้เฉพาะคนที่สนิทเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่สนิท ยกเว้นเขาพูดเอง ธรรมชาติของมนุษย์หากได้ระบายความทุกข์กับใครที่รับฟัง จะรักคนนั้นมาก


บทสรุป
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ ที่ผู้ใช้จะต้องมีความรู้รอบตัวในหลายๆด้าน ทั้งด้านจิตวิทยา วัฒนธรรม ประเพณี และมารยาทในทางสังคม เทคนิคในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์นั้นการเข้าใจแต่หลักการโดยไม่ลงมือปฏิบัติ จะไม่เกิดประโยชน์อันไดเลย
ดังนั้นเพื่อให้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และหน้าที่การงาน ควร ฝึกฝนปรับปรุง พัฒนาตนเอง ในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ต่อผู้อื่น และเพื่อความเข้าใจในธรรมชาติของผู้อื่นที่จะต้องให้เกิดมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ดังคำกลอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ว่า
เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนมีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีนั้นเราจะต้องลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต ชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จและมีความสุข ดังคำกล่าวที่ว่า
ชีวิตที่มีความสุข ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังดีกว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จแต่ไม่มีความสุข และจะดีที่สุดถ้าชีวิตทั้งประสบความสำเร็จและมีความสุข ซึ่งจะต้องรู้จักการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ กับบุคลอื่นอย่างดียิ่ง ด้วยการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการถาม การฟัง การพูด ต้องทำอย่างมีสติ เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีและเพื่อเป็นการแสวงหา กัลยาณมิตรต่อไป

***********************
เรียบเรียงโดย
พุทธินันท์ เสริมสุขพันธุ์

ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลอันมีประโยชน์อีกครั้งนะคะ....ฝากบทความดีนี้ไปยังเพื่อนทุกคนด้วยนะคะ

วัคซีนป้องกันโรคอกหัก( โดยคุณพุทธินันท์)



"โรคอกหัก" เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและหนุ่มสาวจะเป็นโรคนี้กันได้ง่าย อย่างในยุคอินเดอร์เน็ตนี้ บางคนอกหักแทบทุกวันเพราะมีอาการป่วยชนิดพิเศษที่เขาเรียกว่า"อกหักออนไลน์" เกิดจากการเล่น chat หรือ ICQ
โรคอกหักนี้เวลาเป็นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการเจ็บกลัดหนองในหัวอกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ความลึกของหลุมรักที่ตกลงไป คนที่อกหักส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางคนก็เที่ยวหาคนปลอบใจรอบข้าง บางคนต้องเปิดเพลง PoP ฟังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ (บางทียิ่งเจ็บหนักเข้าไปอีก) ถ้ามีอาการหนักหน่อยก็อาจจะคิดทำร้ายตัวเอง หรือ หนักข้อยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับ"โดดตึก"ขอลาโลกนี้ไปเลยก็มี
จึงขอนำบทความพิเศษ เรื่อง "วิธีคิดป้องกันความพลาดหวังจากความรัก" หรือ "วัคซีนป้องกันโรคอกหัก" มานำเสนอ เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ขอเชิญติดตามได้เลยครับ
วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคอกหัก คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"

"อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "

ยกตัวอย่างเช่น
คุณโจเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณโจจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี
เพียงแค่นี้แหละครับ คุณโจก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ

"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน
"โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"

แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน
คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ
ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้
ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อกูลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
"เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน (แนะนำให้อ่านเทคนิคสร้างความรักแบบเมตตาอย่างง่าย ๆ ) คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง
แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็
เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ
นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทั่วแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม

แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย
"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด

(พุทธินันท์ เสริมสุขพันธุ์)
เรียบเรียง

ขอขอบคุณมากนะคะสำหรับบทความดีๆที่ย้ำเตือนการกระทำของหลายๆคนได้เป็นอย่างดี และย้ำเตือนหลายๆคนอย่างเราได้เป็นอย่างดีมาก....ขอบคุณมากนะคะ หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยขน์ต่อคนอีกหลายๆคนนะคะ จึงได้ขออนุญาตฺเจ้าของบทความพี่พุทธินันท์มาลงให้ให้อ่านกันบ้างนะคะ...สุขกับการใช้สายตาอ่านนะคะ ยาวหน่อย แต่ตั้งใจอ่านนะ แล้วคุณจะได้อะไรที่มากกว่าที่คุณคิด

Saturday, February 14, 2009

อันนี้ไปนอกเมืองนะ..ดูบรรยากาศนอกเมืองเสียนิด

ระว่างทางที่รถเรากำลังแล่นเข้าสู่ถนนที่จะไปยังเมืองมุมไบนะจ้า..มีฟางกองข้างๆทาง มีรถชนกลางทาง และมีเด็กๆเล่นกันด้วย
ครบรสเลย..เราอยู่บนรถที่ไม่มีแรงแล่นความเร็วเท่าไร..เลยจับภาพได้ทันฮ่ะ




นี้เป็นแม่น้ำฮุคลิ(Hoogly)ที่เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำคงคา แม่น้ำนี้จะไหล่ไปสูอ่าว
เบงกอลนะคะ

ที่ที่แห่งนี้อยูนอกเมืองKolkata นะ มีชื่อว่า"Country Roads"ไปเที่ยวบ้านสวนของเพื่อนกัน








ภาพนี้เป็นภาพที่อยู่ในกรอบของผนังบ้าน...ลวดลายน่าสนใจดีนะคะ

Friday, February 13, 2009

เห็นด้วยอย่างที่ว่านี้มั้ยเอ่ย?



สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะจ้า

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย