Monday, May 4, 2009

พี่ชายรักน้องสาวและน้องสาวรักพี่ชาย

เมื่อห้าปีที่แล้ว...ตอนนั้นฉันจะเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าทำไมคุณย่าฉันถึงเอาเสื้อผ้าและน๊งหย่งไปให้กับน้องชายของย่า เสื้อผ้าพวกนั้นเป็นเสื้อผ้าที่น่ากลัวมากสำหรับฉัน มีลักษณะไม่เหมือนที่เราใส่ไปเล่นปีใหม่กัน แต่มีสีสันซีดๆจืดๆลักษณะเหมือนกับเสื้อผ้าที่คุณลุงคนหนึ่งใกล้บ้านฉันเขาสวมนอนอยู่ใต้หิ้งในบ้านหลังนั้น....ภาพนี้ทำให้ฉันเข้าใจได้โดยง่ายๆว่า น๊งหย่งผืนนั้นคุณย่าเขากำลังทำให้กับคุณลุงที่ฉันค่อนข้างกลัวมากตั้งแต่เด็ก เพราะคุณลุงนี้พูดไม่ได้ แต่อัฉริยะมากเลย ท่านนอกจากจะยิงหน้าไม้ข้างๆบ้านฉันไม่เว้นวันหยุดแล้ว ยังทำธนูและทำไม้กวาดเป้นหลักด้วย

แค่นึกถึงว่าผ้าผืนนี้จะเอาไปใช้งานอะไร ฉันก็กลัวไม่กล้าถามต่อแล้ว....แต่ตลอดระยะเวลาฉันพกพาความสงสัยนี้อยู่กับตัวเสมอ
คนเสียชีวิตคนแ้ล้ววคนเล่า สองครั้งของปีที่แล้วที่ฉันกลับบ้าน มีผู้ชายที่แซ่เดียวกับคุณย่าไม่มีน้องสาวหรือพี่สาว...เค้ายังต้องมาขอให้ย่าไปเป็นผู้แทนน้องสาวหรือพี่สาวของคนคนที่เสียชีวิตเลย ครั้นคุณย่าจะไปร่วมงาน เขาก็พกน๊งหย่งไปอันหนึ่งติดมือไปด้วย ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นไปทำไม เห็นที่ศพลูกหลานเค้าก็มีใส่ให้เยอะแยะแล้วนิ คิดลึกๆคิดเรื่อยๆเลยมาคิดมาถึงวันนี้ การมีพี่ชายหรือน้องสาวสักคนคงต้องสำคัญแน่ๆ ไม่อย่างนั้น ย่าของเราคงไม่ได้ไปเป็นผู้แทนแน่ๆ

.เรื่องของการเสียชีวิตเป็นเรื่องที่ฉันไม่อยากได้ยินนัก เลยไม่อยากถาม...เก็บเอาไว้และเก็บเอาไว้โยงใยเล่นๆสร้างความสัมพันธ์ประกอบเป็นความคิดใหม่อีกหนึ่งความคิดที่น่าจะเป็นไปได้

เท่าที่ได้ไปกินข้าวบ้านศพมาตั้งแต่เด็กจนป่านี้ ในระหว่างที่รอข้าวกิน เราก็จะเห็นกิจกรรมต่างๆที่ประกอบขึ้นในงานศพแล้วหลายต่อหลายครั้ง จึงมีความคิดไปเองว่า ที่คุณย่าต้องปักน๊งหย่งให้พี่ชายของย่าคนนั้นก็ไม่ต่างจากการที่ย่าไปเป็นตัวแทนในฐานะน้องสาวให้ลุงคนนั้นที่ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา

ในงานศพคืนนั้นของญาติฉัน พ่อให้คำตอยมาว่า"หากพี่ชายหรือน้องชายเสียชีวิต ในคืนที่มีการเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถออกมาพูดถึงหนี้สินที่ผู้เสียชีวิตที่ยังไม่ได้จ่าย เข้าใจง่ายๆเลยก็คือว่า ลูกหนี้สามารถไปทวงได้ในคืนนั้นเท่านั้น หากทวงหลังจากนี้ จะถือว่าเป็นโมฆะ" ทำไมเราต้องมีขั้นตอนในการจ่ายหนี้สินนี้คืนด้วย? คิ้วฉันกระโดดขึ้นทำท่างงๆไม่พูดอะไรจนพ่อต้องขยายความต่อว่า "เพื่อให้ผู้เสียชีวิตไปอย่างไม่ติดหนี้ติดสินอะไร ชีวิตจะได้อยู่เป็นสุข" ในขั้นตอนของการตรวจสอบนี้นี้มีผู้คนล้อมวงตะโกนกันลั่นให้คนมาทวงกันในเวลานั้นๆ งานชิ้นสุดท้ายของการตรวจเชคนี้ ดูเหมือนจะเป็นงานของผู้เป็นน้องสาวหรือพี่สาวของผู้ตายที่จะต้องตรวจสอบว่า พี่ชายของไม่ติดหนี้อะไรอีกแน่นะ

ในกรณีที่น้องสาวเสียชีวิต พี่ชายเองก็ต้องตรวจดูเช่นกันว่าน้องสาวของตัวเองไม่ติดหนี้อะไรก่อนที่จะไปสู่อีกภพหนึ่ง หากน้องสาวเป็นสะไภ้ที่ไม่ดีพอ พี่ชายจะต้องฆ่าหมู ฆ่าวัวทำพิธืให้น้องสาวเพื่อทำปลดปล่อยให้เค้ารอดพ้น ทั้งนี้เพื่อวิญญาณของน้องสาวคนนี้ถึงจะได้เป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของผู้ชายที่เขาไปแต่งานด้วยอย่างจริงๆ และแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถกลับมาจุติใหม่ได้ตามความเชื่อของม้งๆเรา

หากไม่มีการเชคอย่างนี้ สามีฝ่ายหญิงอาจไม่ทำพิธีบางอย่างให้ฝ่ายหญิงก็ได้ ฉะนั้นด้วยความกลัวว่า ไหนๆน้องสาวเราก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตัวเองแล้ว น้องสาวเขาจำเป็นที่จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของสามีเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ได้ไปอยู่ในสายเลือดบรรพบุรุษใดๆในความเชื่อของม้ง จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมในการปฏิบัติไปอยู่เรื่อยมา

สิ่งเล็กน้อยๆนี้ได้ถูกแฝงอยู่ในเรื่องพิธีกรรมอย่างเรียบเนียนเป็นผืนผ้าโน๊งหยง จนยากสำหรับคนอย่างเราที่จะเข้าใจและสามารถแยกแยะออกมาเป็นสัดเป็นส่วนของความรักของพี่น้อง หรือเป็นเพียงแค่ความเชื่อ จารีต หรือประเพณี

ฉันมีความรู้็สึกว่าการปักน๊งหย่ง การฆ่าสัตว์ทำพิธี และการตรวจสอบหนี้สินให้กับผู้เป็นพี่ชายหรือน้องชายมีความหมายเช่นกันกับการที่พี่ชายทำให้น้องสาว ฉันจึงคิดว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นหน้าที่ ไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบ แต่เป็นความรักระหว่างพี่น้องที่จะต้องดูแลกันละกัน

ทุกวันนี้ฉันยังคงเห็นพี่ัรักน้อง น้องรักพี่เพียงแค่มีน้ำตาตกหน้าศพ ปากร้องโหๆๆๆๆอยู่หน้าศพ และตาซ้ายตาขวาคอยดูว่ามีคนเห็นเราร้องหรือเปล่า....อย่างนี้แล้วเป็นความรักหรือ?

มาพูดถึงความรักของพี่น้องม้งที่มีต้อพี่น้องม้ง...หวังว่าคราใดที่ครอบครัวฉันไหนไปเยี่ยมคนไกลๆจะได้บ้านพัก ได้ข้าวลงท้อง เพราะเพียงความเป็นพี่น้องม้ง

หากใครมาบ้านนี้ล่ะก็ แน่นอนว่าถ้าหากคุณถือพาสพอร์ทความรักม้งมาด้วยล่ะก็ อย่างน้อยก็ได้น้ำดื่ม...และไข่สักฟองก็คงไม่มีทอดให้แขกของฉันทานเลย....แต่วันนี้ซิ เท่าที่เดาเอาก็คงนับไม่ถ้วนแล้วว่า "มีกี่หลังคาเรือนแล้วที่ทอดไข่ให้แขกรับประทาน".....เราคงต้องเรียนรู้กันเรื่องใข่อีกเยอะเลยว่าม่า...ว่าทำไมเราถึงไม่เตรียมใข่ให้แขกรับประทาน ทั้งๆที่มีสารอาหารสูงๆอยู่

(ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่รู้จักการสะกดโน๊งหย่งเป็นภาษาม้ง..เลยขออนุญาติใช้ภาษาไทยเลยนะคะ ช่วยสะกดให้หน่อยนะคะ เดี่ยวจะแก้ให้วันหลัง...จักขอบพระคุณมากเลยค่ะ)

2 comments:

Anonymous said...

(เมนท์ผิดที่อ่ะนะ..เลยขออนุญาติยกเอามาไว้ในนี้ ที่จริงก็เป็นความผิดของตัวฉันเองที่ไม่ได้จัดเป็นระเบียบ)

Anonymous Chayut said...
สำหรับเรื่องน๊งหย่ง (เขียนม้งไม่เป็นเหมือนกัน) เป็นเรื่องที่เรารุ่นหลังแทบจะนึกไม่ถึงกันแล้ว ผมเองยังคิดเลยว่าต้องสอบถามเรื่องนี้จากใคร

สำหรับความรักที่ม้งเรามีต่อกัน ผมมีเรื่องประทับใจเล่าให้ฟัง (อย่าบอกใครนะ) ...

" เมื่อปี 49 ผมมีโอกาสไปงานปีใหม่ที่ตาก ปีนั้นถ้าจำไม่ผิด บ้านเก้าเป็นเจ้าภาพจัดงานในปีนั้น เหตุการณ์ที่ประทับใจคือ ทางเจ้าภาพได้จัดเต๊นท์อาหารกลางสนาม แล้วทางเจ้าภาพก็เดินชวนแขกที่มาเที่ยวงาน ร่วมรับประทานอาหาร ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกชวน และได้มีโอกาสร่วมรับประทานอาหารมื้อนั้น เหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึง บางสิ่งบางอย่างที่กำลังขาดหายไปจากสังคมม้งเรา"

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆ ครับ

May 16, 2009 10:43 AM

Rainrai Xeem Yaaj said...

ขอบคุณคุณ chayut มากที่เล่าสู่กันฟังในนี้นะคะ
ค่ะ น้ำใจของม้งเรายังคงฝังอยู่ในเลือดเนื้อเรา...แม้ว่าคุณจะทานข้าวอิ้มสักแค่นั้นมาแล้ว แต่ก็ต้องไปทานบ้านคนโน้นและบ้านนี้หลังแล้วหลังเล่า หากข้าวเป็นเหล้า ดิฉันเองก็คงเป็นอีกคนหนึ่งที่เมาตั้งแต่บ้านแรกแล้ว....ถือเป็นที่น่าประทับใจนะคะ

ค่ะๆ...จะเก็บเรื่องของคุณไว้เป็นความลับที่สุดเลย แต่คงไม่มิดแล้วล่ะ เพราะเรื่องดีๆต้องมีไว้แบ่งปันอ่ะนะ ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ อิอิ

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย