Thursday, November 12, 2009

ปีใหม่ 2010


มาแล้ว มาแล้ว ปีใหม่มาเยือนอีกแล้ว
ไปแล้ว ไปแล้ว ปีเก่าถอยหนีไปใกล้อีกแล้ว
ดีใจหรือเสียใจ ปีเก่าพรากไป ปีใหม่เพิ่มไข

ปีนี้ปีใหม่บ้านเราตรงกับ 17 ธันวา
ตามที่อ่านมา จากม้งเอเชีย
ฉะนั้นมาเร็ว มาเร็ว มาร่วมกันสืบสาน
มีการมีงาน ค้างไว้ทำหลังปีใหม่
วันนี้ทำใจเบิกบานยิ้มให้ปีใหม่
สวมแต่งใส่ชุดหนุ่มสาวชรา
มาซิมา มาร่วมปีใหม่บ้านฉัน

Thursday, October 22, 2009

กาลเวลา....กรรม....และลมหายใจ


จากวันนั้นถึงวันนี้....ชีวิตฉัน ฉันยังไม่เข้าใจ
นาทีนี้ขอคิดแบบพระพุทธ
"ชีวิตฉันมีเวลาเพราะมีกรรม
กาลเวลาทำให้ฉันสร้างกรรมไว้
ลมหายใจหน้าจะมีไหมขึ้นอยู่กับกรรมก่อน และกรรมนี้ แต่คงไม่กรรมหน้า"

แม้จะคิดอย่างนั้นปลอบใจได้นาทีหนึ่ง แต่จริงๆทุกวันล้วนไม่เหมือน...ไม่ทันคิดก่อนจะคิด...ไม่ทันทำ เขาว่าเวลาสายเกินไป...

เริ่มวันนี้ยามเย็นย่อมไม่สาย....แม้อาทิตย์ลับฟ้าแล้ว แต่เจ้าจันทร์เจ้ายังคงให้แสงฉัน....จะเดินทางเรียนรู้สลับผลัดเปลี่ยนกับเธอทั้งสองอาทิตย์-จันทร์...แล้วสักวันมื่อหมดสภาพของผู้ตาม จะกลับบ้านไปสร้างคนเป็นผู้นำ ไม่สร้างตามให้เดินลู่ตามผู้นำ เราจะเคียงข้างสร้างกรรมให้สวยงาม เพื่อต้นไม้ดอกไม้บ้านดอยมีโอกาสบาน สงกลิ่นหอมให้ผีเสื้อหนอนน้อยเราได้เรียนรู้ ...เพื่อพรุ่งนี้ลูกฉัน หลานเธอ และเหลนย่า จะได้มีชีวิตผาสุกอยู่กับดอย....

Monday, June 29, 2009

เพื่อนที่อินเดียเขาคิดไงกับเรา


ความเป็นม้งมาอยู่กับฉันที่นี่ได้สามปีเต็มๆ แต่เพื่อนๆคนอินเดียส่วนใหญ่คิดไปเองว่าฉันมาจากรัฐมานีปูร์(Manipur)อัสสาม และมีโซราม(Mizoram) หรือไปไม่ก็จะเป็นคนเนปาลี(เนปาล)สามปีที่นี่รู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจที่อยู่ที่นี่ แต่สงสัยพฤติกรรมหรือบุคลิกของเราแปลกจากคนเหล่านั้นหรือเปล่า ทำไมเราไปไหนๆ ก็จะมีแต่คนขึ้นค่าแท็กซี่ ขึ้นราคาของ และขอแต่เหรียญต่างชาติสะสม แถมขอเงินดอลล่าร์เป็นที่ระลึก(ไม่มีสักกะดอล)แต่กับคนไทยแล้ว เขาก็คิดว่าเราเป็นคนไทย จนกระทั่งเราแต่งตัวไปร่วมงานวันสำคัญของสถานกงสุลที่เมืองกัลกาต้าครั้งหนึ่ง มีคุณป้าท่านหนึ่งทักว่า "นี่ เด็กแม้วเพิ่งลงดอยมาเหรอ" ฉันตอบพร้อมๆกับรอยยิ้มว่า"ใช่ เด็กแม้ว!!...แต่ลงจากดอยมานานแล้ว"

เคยแต่งตัวในชุดม้งไปงานเลี้ยงส่งรุ่นของวิทยาลัยครั้งหนึ่ง เป็นที่แปลกตาและแปลกใขสำหรับผู้มาร่วมงาน แต่ละคนล้วนแต่มีคำถามให้ฉันตอบ พวกเขารู้เพียงว่าฉันเป็นคนไทย แต่ไม่รู้ว่าเชื้อสายอะไร วันนั้นทุกคนเลยเข้าใจผิดว่า นั่นคือชุดไทย...แต่แล้ว เมื่อฉันและเพื่อนรุ่นน้องสองคนช่วยกันให้ข้อมูลที่ถูกต้อง...พวกเราเลยรอดมาได้ เลยกลายเป็นทูตวัฒนธรรมไปโดยปริยาย

หลายๆครั้งที่เพื่อนได้ยินฉันสนทนากับคนที่บ้าน และเพื่อนๆม้งที่นี่ พวกเขาให้ความเห็นว่า"ภาษาคล้ายๆภาษาจีนเลย" ฉันก็เลยสนับสนุนทษฏีนี้ใหญ่เลยว่า"ใช่ๆ ก็มีนะบางคำเหมือนกันเลย เช่นคำว่า มะละกอ,เตาสามขา,กษิตริย์ แล้วก็...เออ..จำไม่ได้แล้ว" ไม่รู้เราไปเอาของเขามา หรือว่าเขาเอาของเรามากันแน่...แต่ฉันวัดความรู้สึกเพื่อนแล้ว เพื่อนก็ยังเข้าใจว่า เราม้งยังไม่ใช่ชาวเรา ยังคงเป็นชาวเขา

ไม่นานมานี้ ขณะที่ฉันกำลังปักผ้าอยู่ มีเพื่อนๆสองคนมาอยู่กับฉัน เพื่อนคนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่งถามว่า"เรนแล้วที่บ้านเนี่ย มีหัวหน้าเผ่าอ่ะป่ะ?" ขณะนั้นหน้าฉันงง จนเหมือนเครื่องหมายคำถามว่า" เธอ..ไปอยู่ไหนมาเนี่ย? พวกเราไม่ใช่เป็นเผ่าๆที่มีหัวหน้าเผ่าอย่างพวกลูซูในหนังสืออ่านนอกเวลาที่เราเรียนมาในเรื่อง"ฟ้าลั่น"นะ" ดูเหมือนเพื่อนคนนี้จะรับรู้คำตอบจากสีหน้าฉัน แล้วแกก็เลยเล่นเกมขายของใน Facebook ต่อ

สักพักฉันก็เลยบอกไปว่า"พวกเราน่ะจีนดั้งเดิม ส่วนพวกเธอน่ะจีนสมัยนี้อ่ะ เข้าใจป่าว?"
ฉันบอกอย่างนั้นไป โดยไม่รู้ว่าเขาได้รับรู้สิ่งที่ฉันเอ่ยไปหรือเปล่า หรือถ้าเขาได้ยิน เขาจะยอมรับในสิ่งที่ฉันพูดออกไปหรือเปล่า
...ฉันเองก็ยังไม่่ได้มั่นใจกับคำตอบของตัวเองเลย

วันนั้นไปเยี่ยมพี่ชายที่อยู่อีกอำเภอหนึ่ง อาหารเที่ยงพี่เขามีไก่บ้านสองตัว จะทำเป็นอาหารเลี้ยงฉัน ตั้งหม้อใส่น้ำ สับไก่เทลงหม้อ ทุบพริกไทย(พริกอินเดีย)ใส่ แล้วลิ้นของแต่ละคนก็รับรสออกมาว่า "อร่อย ชื่นใจจังเลย อากหารไทยหรือลาวหรอ?" เพราะพี่ม้งคนนั้นมาจากประเทศลาว ฉันมาจากไทย เราช่วยกันทำ...ฉันและพี่ม้งก็มองตากัน ในฐานะที่ฉันต้ม ฉันก็เลยตอบไปว่า"อาหารม้ง!!" พวกเขางงเป็นไก่ตาแตก

ฉันเลยไม่แน่ใจว่าตลอดระยะเวลาที่พี่ม้งคนนั้นอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าเพื่อนเวียดนาม พม่า ภูฐาน และบรูไนรู้หรือเปล่าว่า"เขาคือม้ง"
น่าจะรู้อยู่นะ...เพราะมีเพลงม้งเพราะๆดังเป็นระยะๆจากห้องพักของพี่ม้งคนนั้น

Thursday, June 18, 2009

ชีวิตติดห่วง




งุนงงกับชีวิตตัวเองเหมือนกัน
อยู่ๆก็เจอสิ่งดีๆ
อยู่ๆสิ่งไม่ดีก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

หากมองอย่างไม่คิดอะไรเลย ก็คงจะคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคไม่ไดีหากเจอสิ่งไม่ดี
ตัวเองเป็นคนโชชคดีหากเจอเรื่องที่ดี



แต่อย่างไรก็ตามทั้งสิ่งดีและไม่ดี มีจุดจบสิ้นของมันเสมอ
เมื่อมันถึงจุดที่ดีที่สุด ความสุขก็จะค่อยๆถอยลง
เมื่อเราเจอสิ่งที่ไม่ดีมากที่สุดมาแล้ว ก็คงจะคลายๆลงบ้างหลังจากนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของการเกี่ยวโยงของมนุษย์และธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติกำหนดชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การเดินทางเลยต่างกัน

ฉันเชื่ออย่างยิ่งว่า การพบเจอผู้คนแต่ละคนในแต่ละแห่งเป็นเรื่องของห่วงโซ่ชีวิตที่ถูกผูกกัน....
นับวันหากแก้ห่วงโซ่นี้เรีบยร้อย ธรรมชาติของแต่ละคนก็จะตามแก้ห่วงอื่นๆอีกต่อไป...
เราทุกคนเพียงทำการอย่างนี้ไปวันๆ แค่นั้นเอง...หากเป็นเด็กก็คงเป็นการแก้ห่วงที่เกี่ยวกับเพื่อนๆของตัวเองเป็นส่วนใหญ่
หากเป็นหนุ่มสาวก็ตามแก้ห่วงของการค้นหาใครสักคนหนึ่ง...
ผู้ใหญ่ก็คงอยู่ในเรื่องของผู้ร่วมงาน และร่วมชีวิต....

สัปดาห์ก่อนได้มีโอกาสไปเยือนสถานที่แห่งอนุสรณ์แห่งความรักที่ไม่สมหวัง ทาชมาฮาล ยิ่งสะเทือนใจตัวเองว่าวันนี้เราเป็นอย่างนี้จริงๆด้วย ถึงมาถึงสถานที่ที่เป็นอย่างนี้ สถานที่อาจจะสวยงานมากจนชวนให้เราคิดหวนคำนึงถึงใครบางคนที่น่าจะมารู้ มาเห็นกับเรา อยากจะบอกว่า...แม้เราจะไม่มีคนรักเหมือนคนอื่น แต่เราก็ยังมีความรักให้ใครต่อใคร การมาเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แสดงถึงความรักที่ยิ่งใหญ่มากอย่างทาชมาฮาล มันชวนให้เราคิดถึงอนุภาพแห่งความรักที่ไม่สิ้นสุด...มองย้อนดูตัวเองกับความรัก แล้วเจอเพียงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่และพี่น้องเท่านั้นที่สัมผัสได้ด้วยความจริงใจ ฉันเลยเพียงกดสายไปที่บ้าน แล้วบอกทุกคนๆว่าวันนี้ฉันมาทาชมาฮาลคนเดียว แต่จะพาความรักกลับไปให้ทุกคน...ห่วงโซ่รัก เป็นพลังงานพื้นฐานในการขับเคลื่อนชีวิตของฉัน

ตอนนี้เราเป็นสิ่งมีชีวิต มีลมหายใจเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชีวิตแล้ว เราคงไม่ต้องรอแต่จะแก้ห่วงเท่านั้น แต่เราคงต้องเตรียมตัวรอรับห่วงต่อไป นั่นคือ การยอมรับห่วงลมหายใจที่รู้ทั้งรู้ว่ามันจะต้องหายไปสักวัน.....ช่วงเวลาที่เหลือน้อยนิด ไม่รู้กี่นาที กี่วัน กี่เดือน และกี่ปี แต่วันนี้และพรุ่งนี้ฉันจะใช้งานชีวิตให้คุ้มค่าขึ้นนะคะ...เราเกิดมาเพื่อเป็นนายของชีวิตเรานิ ...ใช่ม่า?...เราไม่เป็นนายให้เรา แล้วใครจะมาเป็นเจ้าของของเรา....สู้และเดินทางต่อไปอย่างมีความสุข...เส้น ทางที่เดินขรุขระ แต่เดิน ค่อยๆเดินทีละก้าว ก้าวละนิด สักวันหนึ่งคุณจะเป็นผู้ที่ทำความฝันสำเร็จเอง....วันนี้กลับมาแล้ว กลับมารับกำลังใจจากฟากฟ้า กำลังใจจากสายฝนอีกครั้งเหมือนครั้งก่อน....

...มีความสุขสวัสดิ์นะคะทุกๆคน...รักษาเนื้อรักษาตัวเป็นคนมีสุขภาพจิตสุขภาพกายที่ดีต่อไปนะ

ด้วยมิตรภาพ

Monday, June 8, 2009

ความเป็นม้งจะคุ้มครองฉันไหม

วันนี้เพื่อนม้งฉันชี้แจงบางอย่างที่ฉันไม่คาดคิด
วันนี้ถูกเพื่อนม้งคนหนึ่งชวนให้ไปเที่ยว...ถ้าไปผิดคำสัญญา
วันนี้เด็กม้งนี้เพิ่งรู้คำตอบของเมื่อสองเดือนที่แล้ว

วันนี้คงจะดำเนินไปด้วยดีเหมือนเมื่อวาน ถ้าฉันไม่รับรู้เรื่องราวข้างบนนี้
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร...ถ้าฉันต้องตื่น ต้องคิด ต้องพูด และต้องไป

วันนี้เตือนใจฉันว่า "แม้เขาจะเป็นม้ง เราจะเป็นม้ง แต่เราก็ยังมีจิตใจที่ไม่ต่างไปจากคนทั่วๆไป" มีคิดดีและไม่ดีธรรมดา...คิดดีก็จะได้ความดีเป็นเพื่อน คิดไม่ดีก็จะได้ความชั่วร้ายเป็นศัครู....ที่ผ่านมาเลือดเนื้อของม้ง จิตวิญาณของความเป็นม้งถูกมัดตีตราหน้าคนม้งแต่ละคนที่ฉันพบเห็นไว้ก่อนเลยว่าเป็นคนดี...วันนี้ต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่...ว่า.."ความเป็นม้งด้วยกันไม่ได้คุ้มครองฉันและเธอเสมอไป" ฉะนั้นอย่าวางใจคนง่ายนักล่ะ

เบียด-เผื่อแผ่--->เกิดพร้อมกัน


มีขบวนรถไฟสองขบวนในแต่ละชั่วโมง ขบวนหนึ่งเป็นขบวนไป และอีกขบวนหนึ่งเป็นขบวนมา ทั้งสองขบวนนี้มีฉันเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งในหลายพันคน ที่นั่งมีให้พอนั่งได้สามคนและอีกครึ่งก้น ระหว่างที่นั่งมีที่ยืนให้อีกคนจำนวนสามคนเบียดกัน ช่องผ่านไปมามีคนนับไม่ถ้วนยืนกีดขวางเส้นทางการค้าขายของพ่อค้าขายของกินบนรถไฟ

เส้นทางค่อนข้างยาวไกล...จนฉันได้นั่งสลับกัยได้ยืนเหมือนคนอินเดียทั่วไป หมายความว่า ตอนแรกขึ้นไปไม่มีที่นั่ง แต่พอสักพักคนตรงหน้าเราปวดเมื่อย ก็ให้เรานั่งจองที่ให้แกต่อ พอแกให้เมื่อย เราก็หายอยากนั่ง...เลยสลับๆกันอย่างนี้จนถึงปลายทาง

หนังสือพิมพ์ก็เช่นกัน เจ้าของอ่านเสร็จ..อีกคนหนึ่งต่อ แล้วก็ต่อเรื่อยๆ จนหนังสือพิมพ์บางเล่มหล่นอยู่บนพื้นเป็นขยะไปโดยปริยาย

การเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่บนรถไฟในพื้นที่(local train)แต่เป็นครั้งแรกที่เดินทางคนเดียวไปอ.โกลยานิ(Kalyani District) ที่ที่พี่ชายม้งแซ่ย่างคนหนึ่ง และพี่น้องจากประเทศในโซนเอเชียกำลังศึกษาอยู่

Tuesday, June 2, 2009

ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้

วันนี้ทั้งไปเที่ยวมาและไปเที่ยวไป....หลงทางแล้วหลงทางอีก
เรามันคนในพื้นที่ แต่จะรู้ไปเสียทุกซอกทุกมุมก็เป็นไปไม่ได้
จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาเนี่ย? ผู้ใหญ่ท่าผู้ดีหลายๆคนต้องมาพึงไอ้เด็กตัวเล็กตัวน้อยนี่หรือ?
แล้วจะรอดไหมเนี่ยเรา?? ร้านอาหารไก่ปิ้งอร่อยๆที่ตลาดใหม่นี้ไม่ได้มีร้านเดียว "ห้องแอร์สองห้อง ไก่ปิงอร่อยๆอยู่ตรงหัวมุม" ข้อมูลแค่นี้ฉันจะไปหาได้ที่ไหนเนี่ย? เข้าซอยนั้นออกซอยนี้จนพวกเค้าหิว...เลยแวะเข้าร้านอาหารติดแอร์ มีอาหารเหมือนร้านที่ฝันไว้ แต่ยังคงมีสีหน้าร้อนๆใจอยู่ ทำให้ฉันลำบากใจมากที่สุดเลย

การทำงานร่วมกับคนอื่นๆในฐานะผู้นำทางมันอึดอัดสักแค่ไหน ก็เพิ่งรู้้ว่าการที่จะสั่งการผู้ใหญ่มันก็ยาก จะทำเองไปเลยมันก็ยังไงๆอยู่ เรียนรู้วันนี้เลยว่า หากต้องทำงานนำเที่ยวผู้ใหญ่และเด็กเที่ยว ขอลาพักงานนี้ไปตลอดชีวิตดีกว่า

เที่ยวกับเพื่อน พาเพื่อนเที่ยวมันมีรสชาติที่คล้ายคลึงกัน เพราะวัยไม่ต่าง จะกินอะไรก็กินง่าย ไม่บ่น และไม่ยุ่งยาก
แต่กับเด็กและผู้ใหญ่ ฉันไม่ไหวเลยอ่ะ คนนี้ทานอันโน้นไม่ได้ คนนี้จะทานอันโน้น วุ่นวายตีกันเป็นห่วงโซ่หลายห่วงเลย
ทำให้ฉันคิดว่าเข้าร้านอาหารผิด อากาศร้อนๆเข้ามาอีกยิ่งทำให้ฉันคิดว่าฉันวางแผนการเดินทางเที่ยวผิดอีก ยิ่งคนแต่ละคนค่อนข้างรู้จักเลือกของนัก นี่ก็ไม่เอา โน้นก็ไม่เอา แพงเกิน(ปกติทั้งตลาดราคาก็อย่างนั้น) จะเอาของดีราคาถูก ยิ่งทำให้ฉันต้องช่วยต่อรองราคาจนน่าอายหมด(ผ้าอย่างนั้นอยู่มาสามปีแล้ว ก็ราคานั้นแหละ จะต่อยังไงราคาคงไม่ลงหรอก!) แต่พวกเขาก็ไม่ได้ซื้ออะไร จึงเป็นเครื่องหมายยืนยันให้ฉันรู้สึกว่าวันนี้ "ฉันบกพร่องหน้าที่ของตัวเองอย่างมาก" ไม่น่าเลยเจ้ากุ๊ก เจ้าน่าจะอยู่รับงานนี้!

Sunday, May 31, 2009

การสื่อสารกับโลกที่เรียกว่า"อีกภพหนึ่ง"








เดือนก่อนระหว่างเดินทางกลับจากโรงเรียน ระหว่างทางเห็นการประกอบพิธีของชาวอินเดียกลุ่มหนึ่ง มีผู้หญิงสี่ห้าคนลุกๆกราบๆราบกับพื้นถนน มีผู้หญิงอีกสองคนถือถังน้ำแล้วราดลงบนตัวของหญิงที่นอนกับพื้น พร้อมกับโรยขนมตามตัวของผู้หญิงที่นอนกับพื้น ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างวิ่งกันมาเก็บขนมนั้นกินกัน ดูเหมือนขนมนั้นจะเป็นสิ่งมงคล ท้ายขบวนจะมีกลองสองกลองห้อยอยู่ที่ตัวของผู้ชายสองคน คอยตีเป็นจังหวะๆที่ไม่น่าฟังเลย มีแต่สร้างความหนวกหู ตอนแรกฉันไม่กล้าถ่ายรูปเลย เพราะคิดว่าเป็นการเรียกร้องขอความช่วยเหลือเรื่องน้ำจากรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนนั้น ขบวนแล้วขบวนเล่าก็ยังมีอีก เลยถามคนผ่านทางคนหนึ่ง ได้ผลมาว่า เป็น "Sinto Rama Puja" หรือพิธีบูชาเทพพระเจ้าสินโทรามของอินเดีย

การประกอบพิธีนี้กระตุ้นให้ฉันพึงนึกถึงการประกอบพิธีกรรมของม้งเรา เสียงกลองในขบวนนั้นสะกิดให้นึกถึงการตีกลองในงานศพ เสียงกระดิ่งที่ถูกกลบโดยเสียงกลอง หวนให้นึกถึงเสียงแคนในงานศพ และเสียงของเครื่องมือดนตรีที่Shaman(คิดว่าคำนี้น่าใช้กว่า)ใช้ในการสื่อสารกับอีกภพหนึ่งเวลาที่อัวเน้ง
สิ่งหนึ่งที่ฉันเฝ้าติดตามการคิดของตัเองตอนนี้คือ การสื่อสารของคนในโลกนี้กับสิ่งที่เราคิดว่าอยู่อีกโลกหนึ่งนั้นทำไมต้องมีการสื่อสารด้วยเสียงที่อึกทึกดังลั่นราวกับปลุกทัพให้สู้ศึก??

คำตอบที่ไม่ได้กรองมาก่อนบอกเพียงว่า ตามกฎของหยินและหย่างแล้ว เมื่อโลกของเราเงียบแล้ว โลกอีกโลกหนึ่งต้องฮึกเหิม
ฉะนั้นการที่จะติดต่อกับลกนั้น เราต้องสื่อสารกันด้วยเสียงที่ดังๆอย่างนั้น ในทางกลับกัน ผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิืเองก็สื่อสารกับเราด้วยความเงีบย จนเราไม่รับรู้ถึงการอยู่ร่วมของสิ่งเหล่านั้นเลย ที่เป็นอย่างนั้นอาจเป็นเพราะเพื่อการดำเนินการทางธรรมชาติที่เท่าเทียมกัน ฟ้าที่ได้จากการทอของเก๊าจั๊วมันผืนเล็กไปไม่สามารรถครอบคลุมพื้นดินทั้งหมดได้ พื้นดินจึงถูกดึงเข้าให้เป็นขุนเป็นเขาเพื่ออะไร....เพื่อความเท่าเทียมกันและการดำเนินการต่อไป

Friday, May 29, 2009

พยายามเข้าใจโลก


โลกนี้แคบเกินไป-------->โลกทางความคิด
โลกที่ยิ่งใหญ่กว่าโลกนี้รอเราอยู่------>ไม่มีโลกไหนยิ่งใหญ่กว่าโลกนี้แล้ว

โลกที่ฉันอยากไปเที่ยว------>โลกของแต่ละคน
โลกที่ไม่มีใครอยู่--------->โลกของเด็กน้อยคนคนหนึ่งเอง

ในกระบวนการพยายามเข้าใจสิ่งสิ่งหนึ่ง
ได้เพียงนำความรู้สึกมาวัดความเข้าใจของสิ่งนั้น
ผลที่ตามมาสามารถมีได้100,50,และ0

การไม่เข้าใจตัวเอง..จะเป็นไปไม่ได้
เพราะตัวเราเข้าใจตัวเราดี แต่ ณ เวลานั้นที่เรามักพูดออกมาโดยไม่มีความรู้สึกว่า
"ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ" หากเรารู้ว่าเราไม่เข้าใจตัวเอง นั่นแสดงว่าเราเข้าใจตัวเองแล้ว


การเข้าใจผู้อื่นจะเป็นไปได้อย่างไร หากเราไม่เข้าใจตัวเรา... เข้ามาหาตัวเองเสียหน่อยดีไหม?
เพื่อวันหน้าตัวเราจะได้เข้าใจคนอื่นๆมากขึ้นๆ...

โลกของความแตกต่างไม่ได้ได้แต่สร้างสีสัน สร้างความวุ่นวาย ความโหดหร้าย แต่ยังสร้างชั้นบรรยากาศที่แตกต่างของจิตใจคนเรา จะน่าอยู่หรือไม่น่าอยู่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง....นั่นคือฉันพยายามใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์ในการพยายามเข้าใจสิ่งรอบตัว ไม่รู้จะได้ผลลัพท์เท่ากับเท่าไหร่

Sunday, May 17, 2009

ชายบัญชา หญิงน้อมรับเพื่อเพชรเม็ดงามหรือ?




เพราะเราเชื่อว่าผู้ชายคือไฟ ผู้หญิงคือถ่าน ผู้ชายเกิดมาพร้อมกับกับสิ่งที่มีพลังอำนาจ ผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับความอ่อนน้อม และเพราะเหตุนี้เสียงจึงเหมาะกับผู้ที่สามารถเป็นผู้นำได้นั่นคือผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็คงเกิดมาพร้อมกับความสงบเงียบที่พร้อมจะตาม หากไม่มีคนตาม ก็หามีหัวหน้าไม่ หากไม่มีคำว่าผู้นำ เราจะมีคำว่าผู้ตามหรือ?

ความเชื่อของของคู่กันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของความเป็นจริง เรื่องที่เป็นจริงมีบ่อเกิดอยู่สองแห่งคือ งานการสร้างของธรรมชาติและการสร้างของมนุษย์ เรื่องที่ธรรมชาติสร้างมามักจะเป็นสิ่งคู่กันเสมอๆ แต่สิ่งสองสิ่งนี้อาจปรากฎอยู่แยกกันคนละที่ก็ได้ หรืออาจรวมอยู่ในรูปรูปหนึ่งก็ได้ แต่มีผลให้กันและกันเสมอ...ความรักและความเกลียดแยกกันอยู่ต่อเมื่อใจเรารักหมดใจและเกลียดถึงกระดุกดำ ไม่ฉะนั้นความรักและความเกลียดจะปรากฎอยู่ในที่ที่เดียวกัน

แต่ความสนใจของข้าพเจ้าในวันนี้ เพียงแค่ต้องการดูเฉพาะสิ่งสองสิ่งนี้ที่ขัดกัน แต่มีความลงตัวอยู่ในตัวของมัน นั่นคือ การทะเลาะเบาะแว้งของสามีภรรยา แม้ผู้เป็นสามีจะทุบ จะตี หรือจะเตะ แต่ภรรยาทำได้แค่รับรู้ความเจ็บปวด ความเสียใจ และฝึกความอดทนของร่างกายและจิตใจ ดูเหมือนคำต่อว่าไม่มีหยุดของสามีช่วยกลบกลืนเสียงของภรรยาได้เป็นอย่างดี ทำให้ข้าพเจ้าพึงคิดในใจอย่างไม่พอใจว่า "ผู้เป็นเจ้าของเราได้ให้ผู้ชายพกสิบปากมาด่าว่าภรรยาของตัวเองหรือ? แล้วทำไมไม่โยนทิ้งสักอันหนึ่งให้ภรรยา เพื่อมาถามหาความยุติธรรมเสียบ้างล่ะ!!" แม้จะหาความถูกต้องไม่ได้ แต่การเงียบของภรรยาจะช่วยให้ผู้ชายก็จะหยุดเอง แต่หากภรรยามีคำโต้เถียงสวนทางกลับไปบ้าง แน่นอนว่าแม่ยายต้องบอกว่าได้ลูกสะไภ้ไม่ดี เรื่องราวจะไม่จบเป็นแน่ เหตุนี้หญิงบ้านหญิงเรือนหลายๆคนที่มีคุณสมบัติของสะไภ้ดีในแบบฉบับของมาตรฐานม้ง แม่ศรีเรือนม้งตัวจริงจึงไม่หาความยุติธรรมให้ตัวเองเลย และจะไม่นำเรื่องให้คนนอกช่วยรับรู้ทั้งนั้น แม้จะลำบากใจมากเพียงใด

ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้าพเจ้าตั้งแต่รู้เรื่องมาจนรักเรียนต้องพลอยแอบซ่อนมีด ซ่อนเคียว และซ่อนขวานให้ไกลจากมือของพวกผู้ชายรอบตัวในยามที่รู้ว่ามีปัญหา การเอาอุปกรณ์พวกนี้ออกไปพักงานนอกบ้านบ้างจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เด็กคนหนึ่งจะพอรับมือช่วยเหลือได้สถาณการณ์ ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์เหล่านี้หลายต่อหลายคู่ทั้งที่ใกล้ตาและไกลตัว จนเป็นที่น่าจดใส่ใจสำหรับข้าพเจ้ามาตลอดว่า "การแต่งงานได้ขโมยอะไรบางอย่างของผู้หญิง และได้ลดสิทธิของผู้หญิงไป" คุณแม่หลายๆสอนเสมอว่า "แม้้เราจะถูก แต่อย่าไปพูดเลย ปล่อยให้เป็นไปตามที่ผู้ชายทำ แล้วเรื่องจะดีเอง หากเราไปต่อล้อต่อคำอีก เดี๋ยวเรื่องจะยิ่งเละและยิ่งยาว"

ข้าพเจ้าควรที่จะเรียกคุณแม่ที่ยอมทนยอมอยู่อย่างนี้ว่าอย่างไรดี ข้าพเจ้าควรที่จะยึดถือพวกเขาเป็นแม่แบบหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆแล้วแต่คุณทราบไหมว่า คุณพ่อและคุณแม่ของครอบครัวหนึ่งในกลุ่มนั้นได้เป็นคุณพ่อและคุณแม่ดีเด่นในภายหลังแล้ว
ข้าพเจ้าจึงคิดว่าสงสัยฟ้าลิขิตให้เราแต่ละครอบครัวขัดกันก่อน ขัดเพื่อให้ได้เพชรเม็ดงาม

อย่างไรก็ตามแม่เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วนานนับปี แต่ภาพต่างๆเหล่านั้นยังไม่จางหายจากข้าพเจ้า เหมือนกับความบอบช้ำของจิตใจของคุณแม่เหล่านั้นในวันนี้ที่ยังรักษาไม่หายแม้จะกลายเป็นคุณยายหรือคุณป้าไปหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้แต่เจ็บลึกๆไปพร้อมๆกับคุณแม่เหล่านั้นจนถึงวันนี้ จึงได้เขียนบทความเรื่องนี้สอบถามความก้าวหน้าในชีวิตคู่ของม้งเรา หากในวันนี้การมีชีวิตคู่้ของม้งเราได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ข้าพเจ้าคงต้องกลับมาเปลี่ยนใจ เพื่อรอรับคู่ขวัญของข้าพเจ้าแล้วล่ะ

Monday, May 4, 2009

พี่ชายรักน้องสาวและน้องสาวรักพี่ชาย

เมื่อห้าปีที่แล้ว...ตอนนั้นฉันจะเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าทำไมคุณย่าฉันถึงเอาเสื้อผ้าและน๊งหย่งไปให้กับน้องชายของย่า เสื้อผ้าพวกนั้นเป็นเสื้อผ้าที่น่ากลัวมากสำหรับฉัน มีลักษณะไม่เหมือนที่เราใส่ไปเล่นปีใหม่กัน แต่มีสีสันซีดๆจืดๆลักษณะเหมือนกับเสื้อผ้าที่คุณลุงคนหนึ่งใกล้บ้านฉันเขาสวมนอนอยู่ใต้หิ้งในบ้านหลังนั้น....ภาพนี้ทำให้ฉันเข้าใจได้โดยง่ายๆว่า น๊งหย่งผืนนั้นคุณย่าเขากำลังทำให้กับคุณลุงที่ฉันค่อนข้างกลัวมากตั้งแต่เด็ก เพราะคุณลุงนี้พูดไม่ได้ แต่อัฉริยะมากเลย ท่านนอกจากจะยิงหน้าไม้ข้างๆบ้านฉันไม่เว้นวันหยุดแล้ว ยังทำธนูและทำไม้กวาดเป้นหลักด้วย

แค่นึกถึงว่าผ้าผืนนี้จะเอาไปใช้งานอะไร ฉันก็กลัวไม่กล้าถามต่อแล้ว....แต่ตลอดระยะเวลาฉันพกพาความสงสัยนี้อยู่กับตัวเสมอ
คนเสียชีวิตคนแ้ล้ววคนเล่า สองครั้งของปีที่แล้วที่ฉันกลับบ้าน มีผู้ชายที่แซ่เดียวกับคุณย่าไม่มีน้องสาวหรือพี่สาว...เค้ายังต้องมาขอให้ย่าไปเป็นผู้แทนน้องสาวหรือพี่สาวของคนคนที่เสียชีวิตเลย ครั้นคุณย่าจะไปร่วมงาน เขาก็พกน๊งหย่งไปอันหนึ่งติดมือไปด้วย ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นไปทำไม เห็นที่ศพลูกหลานเค้าก็มีใส่ให้เยอะแยะแล้วนิ คิดลึกๆคิดเรื่อยๆเลยมาคิดมาถึงวันนี้ การมีพี่ชายหรือน้องสาวสักคนคงต้องสำคัญแน่ๆ ไม่อย่างนั้น ย่าของเราคงไม่ได้ไปเป็นผู้แทนแน่ๆ

.เรื่องของการเสียชีวิตเป็นเรื่องที่ฉันไม่อยากได้ยินนัก เลยไม่อยากถาม...เก็บเอาไว้และเก็บเอาไว้โยงใยเล่นๆสร้างความสัมพันธ์ประกอบเป็นความคิดใหม่อีกหนึ่งความคิดที่น่าจะเป็นไปได้

เท่าที่ได้ไปกินข้าวบ้านศพมาตั้งแต่เด็กจนป่านี้ ในระหว่างที่รอข้าวกิน เราก็จะเห็นกิจกรรมต่างๆที่ประกอบขึ้นในงานศพแล้วหลายต่อหลายครั้ง จึงมีความคิดไปเองว่า ที่คุณย่าต้องปักน๊งหย่งให้พี่ชายของย่าคนนั้นก็ไม่ต่างจากการที่ย่าไปเป็นตัวแทนในฐานะน้องสาวให้ลุงคนนั้นที่ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา

ในงานศพคืนนั้นของญาติฉัน พ่อให้คำตอยมาว่า"หากพี่ชายหรือน้องชายเสียชีวิต ในคืนที่มีการเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถออกมาพูดถึงหนี้สินที่ผู้เสียชีวิตที่ยังไม่ได้จ่าย เข้าใจง่ายๆเลยก็คือว่า ลูกหนี้สามารถไปทวงได้ในคืนนั้นเท่านั้น หากทวงหลังจากนี้ จะถือว่าเป็นโมฆะ" ทำไมเราต้องมีขั้นตอนในการจ่ายหนี้สินนี้คืนด้วย? คิ้วฉันกระโดดขึ้นทำท่างงๆไม่พูดอะไรจนพ่อต้องขยายความต่อว่า "เพื่อให้ผู้เสียชีวิตไปอย่างไม่ติดหนี้ติดสินอะไร ชีวิตจะได้อยู่เป็นสุข" ในขั้นตอนของการตรวจสอบนี้นี้มีผู้คนล้อมวงตะโกนกันลั่นให้คนมาทวงกันในเวลานั้นๆ งานชิ้นสุดท้ายของการตรวจเชคนี้ ดูเหมือนจะเป็นงานของผู้เป็นน้องสาวหรือพี่สาวของผู้ตายที่จะต้องตรวจสอบว่า พี่ชายของไม่ติดหนี้อะไรอีกแน่นะ

ในกรณีที่น้องสาวเสียชีวิต พี่ชายเองก็ต้องตรวจดูเช่นกันว่าน้องสาวของตัวเองไม่ติดหนี้อะไรก่อนที่จะไปสู่อีกภพหนึ่ง หากน้องสาวเป็นสะไภ้ที่ไม่ดีพอ พี่ชายจะต้องฆ่าหมู ฆ่าวัวทำพิธืให้น้องสาวเพื่อทำปลดปล่อยให้เค้ารอดพ้น ทั้งนี้เพื่อวิญญาณของน้องสาวคนนี้ถึงจะได้เป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของผู้ชายที่เขาไปแต่งานด้วยอย่างจริงๆ และแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถกลับมาจุติใหม่ได้ตามความเชื่อของม้งๆเรา

หากไม่มีการเชคอย่างนี้ สามีฝ่ายหญิงอาจไม่ทำพิธีบางอย่างให้ฝ่ายหญิงก็ได้ ฉะนั้นด้วยความกลัวว่า ไหนๆน้องสาวเราก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตัวเองแล้ว น้องสาวเขาจำเป็นที่จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของสามีเขา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ได้ไปอยู่ในสายเลือดบรรพบุรุษใดๆในความเชื่อของม้ง จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมในการปฏิบัติไปอยู่เรื่อยมา

สิ่งเล็กน้อยๆนี้ได้ถูกแฝงอยู่ในเรื่องพิธีกรรมอย่างเรียบเนียนเป็นผืนผ้าโน๊งหยง จนยากสำหรับคนอย่างเราที่จะเข้าใจและสามารถแยกแยะออกมาเป็นสัดเป็นส่วนของความรักของพี่น้อง หรือเป็นเพียงแค่ความเชื่อ จารีต หรือประเพณี

ฉันมีความรู้็สึกว่าการปักน๊งหย่ง การฆ่าสัตว์ทำพิธี และการตรวจสอบหนี้สินให้กับผู้เป็นพี่ชายหรือน้องชายมีความหมายเช่นกันกับการที่พี่ชายทำให้น้องสาว ฉันจึงคิดว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นหน้าที่ ไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบ แต่เป็นความรักระหว่างพี่น้องที่จะต้องดูแลกันละกัน

ทุกวันนี้ฉันยังคงเห็นพี่ัรักน้อง น้องรักพี่เพียงแค่มีน้ำตาตกหน้าศพ ปากร้องโหๆๆๆๆอยู่หน้าศพ และตาซ้ายตาขวาคอยดูว่ามีคนเห็นเราร้องหรือเปล่า....อย่างนี้แล้วเป็นความรักหรือ?

มาพูดถึงความรักของพี่น้องม้งที่มีต้อพี่น้องม้ง...หวังว่าคราใดที่ครอบครัวฉันไหนไปเยี่ยมคนไกลๆจะได้บ้านพัก ได้ข้าวลงท้อง เพราะเพียงความเป็นพี่น้องม้ง

หากใครมาบ้านนี้ล่ะก็ แน่นอนว่าถ้าหากคุณถือพาสพอร์ทความรักม้งมาด้วยล่ะก็ อย่างน้อยก็ได้น้ำดื่ม...และไข่สักฟองก็คงไม่มีทอดให้แขกของฉันทานเลย....แต่วันนี้ซิ เท่าที่เดาเอาก็คงนับไม่ถ้วนแล้วว่า "มีกี่หลังคาเรือนแล้วที่ทอดไข่ให้แขกรับประทาน".....เราคงต้องเรียนรู้กันเรื่องใข่อีกเยอะเลยว่าม่า...ว่าทำไมเราถึงไม่เตรียมใข่ให้แขกรับประทาน ทั้งๆที่มีสารอาหารสูงๆอยู่

(ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่รู้จักการสะกดโน๊งหย่งเป็นภาษาม้ง..เลยขออนุญาติใช้ภาษาไทยเลยนะคะ ช่วยสะกดให้หน่อยนะคะ เดี่ยวจะแก้ให้วันหลัง...จักขอบพระคุณมากเลยค่ะ)

ประโยคน่าคิด



ประโยคน่าคิดๆ คัดสรรนำมาฝากกันในวันนี้นะคะเพื่อนๆ

1.Dynasties rise ,people suffer;
Dynasties fall,people die.

โดย..Sam Hamill จากหนังสือ world Poetry,Chinese poetry หน้า 502

2."Nothing is more beautiful than truth except truthful living"

3.สาเหตุนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชีวิตดับใช่ไหม..."ตายเร็ว ตายช้าขุ้นอยู่กับความใสสะอาดของจิตเรา"

Saturday, March 28, 2009

เพราะเจ้าเกิดเป็นม้งนี่เอง



เสียงเพลงเพลงหนึ่งเพราะๆค่อยๆดังมากระทบหูอย่างเป็นจังหวะๆบรรยายถึงชีวิตของม้งพี่น้องม้งได้อย่างน่าสงสาร ม้งจบชีวิตลงเต็มตามหุบเขามรมากมาย
น้ำเลือดไหล่หลังเป็นธารน้ำตก เพราะไม่มีแผ่นดิน เลยถูกเป็นอย่างนี้ จะมีไหมความยุติธรรม
ชาตินี้คงตายตาไม่ลืมตา เพราะเกิดมาเป็นม้ง ....

มีสายตาแดงๆคลอเบาๆพอเป็นจังหวะๆเหมือนกับว่าฉันกำลังยืนดูสายน้ำเลือดของม้งที่ไหล่ตามสายแม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำโขง และห้วยเล็กห้วยน้อยในป่าเขาที่พวกเราอาศัยอาศัยอยู่
สะดุดคิดเพียงเพราะ "เกิดผิดมาเป็นม้ง"

ใช่เพราะเกิดมาผิดจริงๆที่เกิดมาเป็นม้ง แม้พี่น้องม้งที่บ้านโดนส่วนใหญ่แล้วได้รับและมีสิทธิเท่าเทียมกับคนทั่วไปแล้ว
แต่ในเมื่อสังคมบางสังคมยังไม่ให้ความเป็นธรรมกับม้งบางส่วนเลย ฉันเองก็เลยน้อยใจอยู่ หากให้พี่น้องม้งเหล่านี้เกิดได้ จะไม่ให้เกิดเป็นม้งอีกต่อไป จะเปลี่ยนสายเลือดให้เค้าทันที เพื่อจะได้มีชีวิตความเป็นอย฿่ที่ดีขึ้น เพราะการมีชื่อว่าม้งนี่เอง ที่ทำให้เค้าต้องแบกชีวิตที่ลำบากอย่างนี้...หากเกิดเป็นม้งแล้ว ไม่ได้รับและมีสิทธิใดๆเท่ากับคนทั่วๆไป เขาดหล่านี้ไม่ควรเลยที่จะเกิดมาเพราะเพื่อจะมาใช้คำแค่คำเดียวในชีวิตของเขา แค่ชื่อว่า"ม้ง" แค่ชื่อนี้ก็ผิดไปแล้ว จะหาความยุติธรรมได้จากที่ไหนเล่า?

เราจะทำอย่างไรให้บ่อน้ำตาของเราแห้งขอด เราควรจะทำอย่างไรให้สายน้ำเลือดของพี่น้องแยกออกจากน้ำ หยุดไหลตามสายน้ำ น้อยน้ำใหญ่

เราจะทำอย่างไรให้ปีใหม่ของเราเป็นปีใหม่ของเราจริงๆ จะทำอย่างไรให้การทักทายของผู้คนเป็นเสียงเอื้อนๆเรียกว่าหลู่ซ่ะ เสียงทักทายของใบไม้ดังเพราะพริ้งแทงแก้วหูสื่อเป็นภาษาให้คนอีกฝั่งหนึ่ง หลู่ป้างฝััวะดังก้องของพ่อสอนลูกหลานตามไร่สวน หลู่จัวะ(นิทาน)ของแม่กล่อมลูกๆนอนทุกค่ำคืนในบ้านที่อบอุ่น และแล้วฉันจะทำอย่างไร เมื่อแคนของปู่ฉั้นเริ่มไม่มีใครมาซื้อแล้ว

เด็กม้งอย่างเราเสียใจจริงๆที่เกิดมาช้าเกินไป จึงไม่ได้มีโอกาสสัมผัสความเจ็บปวดของม้งที่ร้ายแรงมากกว่านี้ พอมาเจอเจอแค่ข่าวคราวในเวปม้งโอเค และเสียงเพลงกระทบที่โหลดมากระทบหู เลยเกิดอาการอย่างนี้ง่ายเกินไป

Sunday, March 22, 2009

นักศึกษาม้งในอินเดีย Hmong students in India


อยู่ๆเห็นเบอร์โทรศัพท์อินดียตัวหนึ่งบินว่อนๆอยู่ในท้องฟ้าของเวปม้ง tojsiab
สีประจำชาติ เขียว ขาว ส้ม สะบัด พัดปลิวช้าๆ ขณะเวป กำลังโหลด อย่างเป็นจังหวะๆตามธรรมชาติของเนตผ่านโทรศัพท์มือถือ
จึงได้เก็บเบอร์นี้มาให้ซิมเราจำ แต่มันก้ไม่สามารถโทรออกได้ จนกระทั่งฉันได้ฝากเบอร์ของฉันกลับคืนไปด้วย ฉันถึงรู้ว่ามีนักศึกษาม้งหลายๆคนกำลังศึกษาอยู่ในอินเดีย เท่าที่รู้จากพี่คนหนึ่งประธานนักศึกษาม้งลาว เขาอธิบายอย่างกระชับกระเฉงว่าเขารู้ว่าม้งลาวมาเรียนที่นี่กี่คนกี่คน แต่เขาไม่รู้ว่าม้งไทยมากันกี่คน ความคิดฉันสะดุ้งตื่นทำหน้าที่ตัวเองเลยว่า" อืม..ดีนะคะที่มีนักศีกษาม้งในลาวได้เป็นประธานนักศ฿กษาลาวด้วย ด้วยเหตุนี้เลยส่งผลดีคือ รู้ว่าม้งกี่คนที่เรียน และม้งเรียนที่ไหนกันบ้าง"เพราะอย่างนี้นี่เอง ฉันถึงเพิ่งมารู้ว่าม้งพี่ม้งคนหนึ่งอยู่ในรัฐเดียวกันกับฉัน และรู้ว่ามีพี่น้องม้งคนหนึ่งอยู่ที่บังกะลอร์หรือทางใต้ของอินเดีย ตอนนี้ฉันจึงสรุปได้เพียงว่า มีนักศึกษาม้งไทย 2 คน และม้งลาวอีก 3 คนที่กำลังเรียนอยู่ในอินเดีย โดยส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาเหล่านี้จบการศึกษาระดับปริญาตรีแล้ว ได้รับทุนการศึกษาจากรัฐบาลอินเดียและผู้เอื้อเฟื้อมาศึกษาในระดับปริญาโท หรือไม่ก็มาศึกษาในระดับปริญาตรีืีที่่ต่างจากสาขาที่ตนเคยร่ำเรียนมา

ดูแผนที่แล้วบ้านเราอยู่ห่างไกลจากดินแดนโรตีมากนักนะ ฉะนั้นพวกเราเมื่อรู้ว่าอยู่ในดินแดนแห่งนี้หลาย ทำให้ฉันรู้สึกว่าเหมือนบ้านขึ้นตั้งเยอะเลย ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่ๆที่มาปูพื้นฐานให้กับน้องๆในรุ่นต่อๆไปด้วยนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสำเร็จการศึกษา เดินทางเข้าสู่อ้อมกอดของพ่อและแม่อย่างปลอดภัยนะคะ

สู้ๆหน่อยนะคะ...แล้วอินเดียจะสอนให้เรารู้จัก"การเป็นคนที่รู้จักเอาตัวรอดไ้ด้เป็นอย่างดี"

กำลังใจจากฟากฟ้า...สู้ๆนะคะ แล้วกลับบ้านไวๆนะ บ้านนี้เมืองนี้ประชากรเยอะแล้วอ่ะ...

A single call can like we Hmong together. I am very happy that I am not alone over the wide Indian horizon. I never thought before that I would meet any Hmong in India before I would make my way toward home. Fortunately, I saw a Hmong student's phone number posted on Tojsiab's website,and I was wondering if this very person was currently in India,thus i tried on many time before giving up.

At last I went through the page once again,and I found a response to what I had earlier posted. I gave a reply back and a few minutes later a call came and thus I came to know that there are five Hmong students are studying in India. Three are from Laos and two from Thailand. i feel like I am closer to home now!!! yes,I really feel that.

I wish you all succeed in your studies here,and go back home as fast as possible because our Hmong people are waiting for you!!!!

Thursday, March 12, 2009

"Peb Hmoob, San Miao ??

วุ่นวายซะมัดเลยน้อ
ต่างคนต่างความคิด
ต่างคนต่างข้อมูล
เห่อ!เหมือนหาทางออกไม่เจอ!!

ไม่ทำอะไร มัวแต่คิดเรื่องนี้ไปหลังจากอ่านบทความประวัตฺิศาตร์ของเวปบ้านม้งเสร็จ( http://www.banhmong.com) รู้สึกว่ามีข้อมูลที่ได้วันนี้ต่างงจากที่อ่านผ่านๆมาเหลือเกิน แต่น่าคิดมาก(ไม่คิดน้อยเลย)ในหลายๆด้านเลย

ขณะเดียวกันก็ชักจะงงๆเสียแล้วกับconceptของการเรียกตัวเองว่า" Peb Hmoob"
เมื่อสิบปีก่อนพี่สาวสอนให้นับเป็นภาษาจีน อิ เอ้อ ซัน ซื๋อ อู๋
ปกติก็ไม่ลังเลใจที่จะแปลออกมาว่า "Three Hmongs" หรือตรงๆกับเมืองนี้สมัยก่อนที่ม้งอยู่ในจีนเลยคือ "San Miao"
เข้าใจอย่างนี้แล้ว พอไปเจออะไรที่ต่าง แทนที่จะเปิดรับ ความคิดที่ว่าเข้าใจแล้วนั้นกลับโจมตีข้อมูลนี้หน่อยๆ เอาเป็นว่าจะรู้ไว้ก็ดีน้อ..

เวอร์ชั่น" Peb Hmong"ของบ้านม้งเกี่ยวกับลูกกษัตริย์ม้งคนหนึ่งที่มีสามเศียรเลยเรียกว่า "Peb Hmoob"แต่อีกเวอรืชั่นหนึ่งที่ฉันคิดเอาใจตัวเองมากที่สุดคือ สามพี่น้องม้งที่มีชีวิตอยู่เมื่อ2,500ปีที่แล้วก่อนที่พระเยซูจะเกิด(รวมเวลาถึงตอนนี้ก็ 2500+2009=4,509ปีก่อนที่สามพี่น้องม้งนี้มีชีวิตอยู่

อ้างอิงถึงข้อมูลจากอินเตอร์เนต Yi Xi Jian (หมู่บ้านม้งหรือแม๋วที่มีอยู่ในหมู่บ้าน Qiandogman ในมณทล กวางเจา)ได้กล่าวไว้ว่า Chiyou ผู้เป็นกษัตริย์ม้งเรามีลูกชายสามคน

Chiyou หรือถ้าให้คิดเอียงเข้าความคิดตัวเองอีกก็คงเป็น"จี๋เหย่อ" (Txiv yawg) หรือที่แปลว่า"พ่อ"นั่นเอง ชื่อของผู้นำเราเมื่อ4,509ปีนี้อาจเป็นที่มาของคำว่าพ่อก็ได้ ฉันคิดว่าอย่างนั้น

ส่วนชื่อ "Peb Hmoob"นั้น คำว่า "peb","สาม" นี้น่าจะอ้างอิงถึงลูกทั้งสมของ Txiv Yawg ที่ขยับจากมณทล Hebei ลงมาอยู่บริเวณแม่น้ำเหลืองหลังจากที่พ่อของตนได้แพ้สงครามให้จีนครั้งสุดท้าย(รบสิบ ชนะเก้า แพ้ครั้งสุดท้าย)
ฉันจึงคิดว่าด้วยสามพี่น้องม้งนี้ที่ลงมาอยู่กันในที่ที่แห่งนี้เอง จึงมีการเรียกชื่อเมืองเมืองนี้ว่า สามม้ง หรือ Peb Hmoob หรือเรียกเป็นภาษาจีนคือ San Miao: San คือ สาม,Miao คือ ม้ง)

หากเป็นอย่างนั้น...ตราบนานเท่านานที่เรายังเรียกเราว่า Peb Hmoob" ได้ ถ้าเราอยากจะเรียกตัวเราว่า ซันแม๋ว หรือ San Miao ก็คงไม่ผิด (คิดถูกมั้ยคะ?...ถ้าคิดในกระบวนการนี้โดยไม่คิดถึงความชอบไม่ชอบนะ)


ขอเพิ่มเติมชื่อของสามพี่น้องนี้ให้ได้รู้จักกัน ท่านมีชื่อว่าอะไรบ้างน้อ?

คนสุดท้ายชื่อ Li Ci (ขอเพิ่มอีกเยอะหน่อยเด้อ...กลุ่มนี้เมื่อมาอยู่ที่เมืองSan Miaoแล้วก็มีสงครามอีก คนนี้ได้นำม้งกลุ่มหนึ่งขึ้นทางเหนือ เชื่อว่าได้เข้ากลายรวมตัวเข้าเป็นเชื่อสายอื่นเรีบยร้อย หนึ่งในนั้นที่ฉันคิดว่าอยู่ในกลุ่มนี้คือม้งที่หนีไปญี่ปุ่นแล้วไปเป็นญี่ปุ่นเสร๊จเรียบร้อยแล้ว คิดอย่างนี้เพราะได้เห็นจากงานเขียนและงานวาดภาพประกอบของม้งสหรัฐ Chi Thoa ที่อธิบายว่า เพราะม้งกลุ่มหนึ่งหนีไปตอนเหนือ ชาวญี่ปุ่นหลายๆคนสมัยนี้จึงclaim(ขอใช้คำนี้นะ ดูเหมือนเจาะจงได้ใจความมากกว่า)กันว่า"บรรพบุรุษของเขาเป็นม้ง"

คนที่สองชื่อ Fu Ci ข้อมูลกล่าวว่ากลุ่มนี้ได้เข้าผนวกกลมกลืนเข้าเป็นกลุ่มคนของชาวฮั่นเป็นที่เรีบยร้อย

คนที่สามคือ Pang Ci,ม้งกลุ่มที่มากับกลุ่มนี้คือพวกเราม้งหรือแม๋วเองที่ยังคงเป้นม้งอยู่กระจัดกระจายทั่วโลกนี่เอง เราอยู่มาได้ไงเล่า?
ก็เพราะว่าท่านผู้นี้โตกว่าน้องอีกสองคน ยังไงหากไม่รอด ม้งก็คงไม่มีแน่ๆ เลยพาเรามาทางใต้และต่อสู้ยากลำบากกันไม่หวั่น จนกระทั่งเราได้อยู่เป็นม้งได้จยถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตามข้อมูลที่นำมาอ้างอิงแล้วคิดเองนี้เป็นเพียงการเขียนเล่นๆ คิดเล่นๆให้สนุกเฉยๆ ไม่ควรที่จะนำไปอ้างอิงอยู่แล้วนะคะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ทดสอบไม่ได้ มีแต่การคาดคิด แล้วศึกษาเพิ่มเติมเพื่อโยงใยข้อมูลได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นๆต่อๆไปแค่นั้นเอง


My mind is in a mess when different people have different ideas,and information!
I could not balance more than one thing at a time.

I went to read an Hmong article based on Hmong history from www.banhmong.com. There provides me another Hmong history in the establishment of the word "Peb Hmoob" Since I already have one in my mind,when I met this very one,I seemed to be ignore the new one!!

Over there,they said that the term "Peb Hmoob" came from the Hmong King who had three heads.

My opinion regarding to the term,I would rather go for this primary source on the Internet. The information was collected by a Hmong researcher(I'm sorry that i can't remember his or her name. I wished I could mention here,anyone knows,plz let me know.) from Yi Xi Jian's doucument in a Hmong village called"Qiandogman" in Guizhou province.The study reveals that Chiyou our Great King had three sons. These three sons after their Father lost the last battle in Huipei region,they came southward to the Yellow River and established the kingdom called "San Miao"

Thus my own personal opinion towards the term is that I think of the term of "Peb Hmoob" just as it means "San Miao". "San" as you know in Chinese literally means 'Three'. Miao is no doubt 'Hmong'. So I think it is possible that the terms have a reference to the three Hmong sons of Chiyou .

Moreover,I think 'San Miao' is the Chinese way of calling us just as we call ourselves "Peb Hmoob"

I don't know if i have made myself understand.History is a mystery just as future is!!

Wednesday, March 11, 2009

คุยกันรู้เรื่อง...we can understand each other !! : Mar 8, 2009








หลายวันได้โทรศัพท์ไปหาเพื่อนม้งจีนคนหนึ่งแซ่เดียวกันกับฉันเลย ตอนแรกเขาทักทายเราก็สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษกันก่อน เอาไปเอามา..ก็เข้าสู่ความตั้งใจของฉันคือ อยากรู้ว่าเราจะคุยม้งกันรู้เรื่องไหม ฉันทักเขาก่อน "Nyob zoo" แล้วก็ได้เสียงตอบเช่นเดียวกัน แต่สำเนียงไม่คุ้นหูนิดหนึ่ง เขาเป็นม้งดุ๊ว แต่พูดเหมือนม้งเล็งอย่างพวกเราเลย แต่เชื่อว่าสำเนียงเราไม่ดั้งเดิมเท่าของเขา เราเอามาได้ไม่หมด หรือไม่ก็เราเอามาแล้วเอาไปทำหล่นหายไป คำบางคำเราเลยไม่รู้ความหมาย เด้กสาวผู้นี้อายุเดียวกันกับฉันเลย แต่ลักษณะการพูดแล้ว เขาพูดม้งเหมือนกับปูย่าตายายของฉันเลย พูดแต่คำที่คนชราๆเขาพูดกัน เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากว่าหนุ่มสาวที่นั่นยังพูดม้งกันแบบม้งจริงๆ ถามเขาว่าเขาพูดภาษาอะไรที่บ้าน เขาพูดภาษาม้งที่บ้าน แต่ไปโรงเรียนจะพูดภาษาจีนกัน
ฉันอดไม่ได้ที่จะบรรเทาอาการอยากรู้เห้นถึงข้อเท้จจริงที่ว่า ม้งจีนไม่มีปัญหาอะไรเมื่อถูกเรียกว่า แม๋ว
เขาตอบมาว่า ถ้าเรียกเป็นภาษาจีนก็จะเรียกอย่างนี้ ก็ไม่เห็นเป็นไร ก็เลยไม่แปลกนักที่คนม้งของเราที่อยู่ออสแตรเลียอย่าง Dr.Galy ท่านได้มีความเห็นว่า "ท่านไม่มีเห็นอะไรในประวัติศาตร์จีนที่เกี่ยวกับม้งเลย หากไม่ยอมรับชื่อ แม๋ว"
ดิฉันคิดว่าเหตุที่ท่านคิดแบบนี้อาจเป็นเพราะชื่อม้งเพิ่งจะมีการใช้ในสื่องานเขียนเมื่อต้นๆปีคริสตวรรษที่ 19 หรือร้อยปีเศษๆมานี้เอง

หลายวันต่อมาได้ดูรูปของครอบครัวเขาและเพื่อนๆของเขา การแต่งกายของเขาดูแล้ว ยังบ่งบอกว่าเขาคือพี่น้องเราอยู่
สภาพบริเวณทั่วไป ก็เห็นมีก้อนหินเยอะแยะตามสถานที่เขาเล่นปีใหม่เลย คิดว่าชีวิตของพวกเขายังคงมีความลำบากอยู่ไม่น้อย

เล่าให้ที่บ้านฟัง เขาตื่นเต้นกันใหญ่เลยว่าเจอพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันแล้ว ชีวิต ความเป็นอยู่ของพวกเขาก็คิดว่ายังคงไม่ต่างกันมากนัก เพราะฟังแล้ว พวกเขาก็ยังปลูกข้าวโพดอยู่ในช่วงนี้ อากาสเริ่มหนาวแล้วที่โน้น ยังอยู่บนดอยอยู่ มีแต่หนุ่มสาวที่มาเรียนหนังสือกันในตัวเมือง ปี ใหม่เค้ากะปีใหม่เราก็คราวเดียวกันนะ...เพื่อนคนนี้ไม่รู้ว่ารู้จักการโยน ลูกช่วงหรือเปล่าไม่แน่ใจ ฉันพูดแล้ว...เธอไม่เข้าใจเลยเลยถามว่าเล่นอะไรในปีใหม่ ได้มาว่า เต้นแคน ร้องเพลง เต้นและไปพบปะญาติมิตรสนิทหาย ส่วนโยนลูกกลมๆนั้น เด่วต้้องส่งรูปไปถาม เค้าอาจจะมีคำเฉพาะสำหรับคำน้ก็ำได้ แค่นี้ก็ตื่นเต้นมากพอแล้วล่ะ...


I never knew that I would have such a Hmong friend from Yunnan,China.
I knew her from a brother Yeeb Yaj. We are both interested in Hmong studies,so one day we went post something on a Hmong Chinese website,we were totally lost on the site. Just a kind of trial and error several times before we would get our comments posted on the site.

Later on,then this very brother got a mail from this Hmong Chinese friend,and I did not have received anything from anyone. So since the brother could not talk in English much, he asked me if I would love to communicate with a Hmong in China. I said yes,and this is what I got from the friend.

We kept in touch for months before I would have the idea of calling her. A few days back I asked her mumbler,and then called her up. She greeted me in Chinese first,then I talked in English. We talked for a while,before we would come to speak in Hmong language. I was very excited that we could understand each other. There are certain words which I had to ask her to repeat over again and again.However I would say that we are nothing different.She is a black Hmong as she told me,but her accent is like Hmong leeg.

As I have learnt from this lovely dear,their lifestyle is still as we Hmong Thai. This season is winter,they are growing corns for sale and as well as for family consumption. Over all,they are still the ever-owner of the high mountain as we Hmong Thai.

It was a nice experience to talk with her. I really feel nothing is indifferent between us as I told my family that I had found my sister already in China,and wanna go to see them in future. They were very happy to hear her words from me.


Thank you friend, Mei Yang,I posted your pictures and story in my blog just that this my diary!
I know NO ONE will read my writings.If yes,they won't ever read but look! B'coz life is always busy !!

วันนี้ 11th Mar ฉันกลับมาแก้ไขบอล์กเพราะบังเอิญเที่ยวไปถึงเวปม้งเวปหนึ่ง...แล้วดันไปเจอ...
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเขียนอะไรเกี่ยวกับม้งไทยบ้างน้อ
เห็นแอบไปลงเวปเสียด้วย อิอิ...ใครอ่านจีนได้มั้ง...บอกหน่อยซิ..นะน่า..พร้อมแล้วตามเลยจ้า ลิงค์ล่างนี้นะ
---->http://bbs.3miao.net/viewthread.php?tid=28920

ม้งคิดอย่างไรทำไมไม่ทานผักในช่วงปีใหม่...why we Hmong people have only meat during our new year?



ไม่เคยผ่านคำถามนี้ที่ไหนมาก่อน แต่มาถามตัวเอง ก็เลยได้จากงานเขียนของฝรั่งคนหนึ่ง
เค้าให้เล่าถึงความเชื่อต่างๆของม้งในงานปีใหม่ การเลือกถิ่นฐาน และที่เพาะปลูกของม้ง
ดิฉันของนำสิ่งที่เค้าได้ศึกษามา นำมาไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ

เพราะเหตุใดนะคะที่พ่่อแม่เราไม่ให้เราทานผัก…ไม่แนใจว่าพ่อแม่เรารู้อ่ะ ป่าว…คิดว่าไม่รู้แหละ แต่เชื่อไป เพราะถูกบอกมารุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นเรื่องลึกลับ…ถามทีไร โดนว่าให้ทุกที

เอาล่ะ…………”ปีใหม่ม้งเราไม่กินผักกัน กินแต่เนื้อ” ทำไม?

เราเชื่อว่าหากกินผักในช่วงปีใหม่แล้ว จะมีวัชพืขขึ้นตามไร่ตามสวนเยอะ

(งมงายใช่มั้ยคะ แต่อย่ามองอย่างนั้นซิคะ ให้มองความตรงความคิดของคนที่เชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งซิคะว่า อ้อ…เพราะเค้ามีเค้าโรงการคิดอย่างนี้นี่เอง ถึงทำให้เค้าเป็นอย่างนี้กัน) คิดง่ายๆเหมือนกับ concept ของตัวเองที่มีต่อตัวเองอ่ะ (เป็นอย่างนี้ เพราะเชื่อในตัวเธอ เป็นอย่างนั้น เพราะเชื่อในตัวเอง)…อะไรประมารนี้อ่ะ

ม้งเราหลีกเลี่ยงการบริโภคผักกันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อ สัตว์กันในช่วงปีใหม่โดยไม่มีใครมีคำถามและไม่มีใครสงสัยเลยว่าด้วยความเชื่ออะไรที่ทำให้ม้งเราไม่รับประทานผักกันในช่วงเทศกาลปีใหม่

(*-*)

I came across an article of a Westerner,who did a research on Hmong beliefs.I would answer this question by taking the study of his that Hmong do not go for vegetables during new year just because our forefather thought that if we have,then weeds will grow more in the field. Thus we neglect to take meat during the festival!

It's a belief that forms your lifestyle!

Tuesday, March 10, 2009

จะก้าวไปข้างหน้าโดยปราศจากวัฒนธรรมม้งกันหรือ?

ไม่ได้แสดงความเห็นนี้ไปยังหัวข้อกระทู้นะคะ แต่ต่อความคิดเห็นต่างๆในกระทู้นี้นะคะ (อ่านกระทู้และความเห็นทั้งหมดได้ที่http://hmongasia.com/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87/comment-page-1/#comment-922

ค่ะ…ระหว่างที่อ่านมาทั้งหมดนี้ ก็รู้สึกจมตีกับหลายๆความเห็น และเห็นด้วยในหลายๆความเห็นนะคะ..

ส่วนตัวก็คิดว่าเลือดม้งไม่หายและไม่ตายแน่ แต่เม็ดเลือกจะกลายพันธุ์!!!!
ไปเป็นกลุ่มคนหนึ่งที่ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง เพราะอะไร?
เพราะไม่มีIdentityที่บ่งบอกว่าเราคือใคร ใช่! หากเราลืมเรา เราก็คงทำเป็นภูมิใจร่วมกับคนที่เราอยู่ด้วยในสังคม!!!

และแล้วหากเป็นอย่างนี้ ….ไม่นานเราก็จะมีวัฒนธรรมที่ตามสังคมนั้นๆที่เราอยู่ แต่ไม่ใช่วัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงร้อยวันพันปีก่อนของเรา
และคงจะไม่มีใครภาคภูมิใจChiyou ของเรา
คงจะไม่มีใครน้ำตาหลั่งถึงชีวิตที่เราถูกรังแกมาด้วยความเจ็บปวดจนมาถึงดินแดนต่างๆในปัจจุบัน
คงไม่นานคงไม่มีใครเป็นม้งในไทย
คงไม่นานคงไม่มีใครว่าม้งทำโน้น ทำนี่ไม่ดี เพราะม้งกลายเป็นคนกลุ่มอื่นแล้ว หากม้งทิ้งวัฒนธรรมของตัวเอง….อันนี้ในเชิงอนาคตไกลนะ ไม่ใช่อันใกล้

อยากจะบอกว่า ไม่ว่าวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิต ภาษาจะดีหรือไม่ดี แต่มันมีความหมาย ความสำคัญ ภูมิปัญญาและความรู้ของม้งอยู่ สิ่งเหล่านี้เองที่คุณอาจจ่มตีว่าไม่ดีหรือรู้สึกว่าดีกัน แต่มันดีนะคะ ดีไงล่ะ? ก็เป็นที่มาสำหรับเราตอนนี้ที่เราจะนำมาเป็นสะพานทอดเราเข้าไปสู่ข้อมูลเชิง ศึกษาอดีีตของเรา จึงอยากจะกระซิบคุณๆให้ช่วยการศึกษาก่อน ศีกษาถึงประเพณีที่แท้จริงของตัวเอง วัฒนธรรมที่แท้จริงของตัวเอง รู้แจ้งเห็นชัดอย่างมีเหตุมีผล ขี้ให้เห็นชัดๆเลยว่าดีร้ายไง แล้วค่อยว่าดูกันอีกทีว่า สิ่งที่ดีน่าทิ้งไปกับสิ่งที่ไม่ดีไหม หรือควรทำไง ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่า
วัฒนธรรมการกินเหล้าแก้เคล้ดไม่มีในม้ง กินจนเมาไม่มีในม้ง เลยคิดว่าให้เรากลับไปศึกษาเรื่องราวในอดีตการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านี้ กันก่อน แล้วเชื่อว่าในอนาคตเราคงได้ประเพณี วัฒนธรรมที่มีแบบแผนและรูปแแบบชัดเจนมากขึ้นในรูปแบบเดียวกัน

เห็นลางๆว่า “วัฒนธรรมม้งไม่ดีพอที่จะนำทัดเทียมกับชาติอื่นได้เลย” ฉันคิดว่า ตัววัฒนธรรมนั้นดี แต่รุ่นแล้วรุ่นเล่านำมาปฏิบัติไม่ดีก็อาจเป็นได้ ม้งเราจึงมีวัฒนธรรมการแ่ต่งกายที่บ่งบอกว่าม้ง แต่ชุดที่แปรเปลี่ยนออกไป และอื่นๆอีกมากมายที่คุณเองก็คงรู้….ม้งเราดีซิคะ…คุณอย่าตีความหมายกว้าง เสียอย่างนี้ซิกับคำว่าวัฒนธรรม คุณควรเจาะจงมาเลยว่าอะไรไม่ดี แล้วแก้ไขอย่างไร
เล่นตีวงกว้างอย่างนี้ ความเห็นได้เยอะดีนะ!!!

กฎของCharle Drawin นำมาใช้ในสังคมมนุษย์ไม่ได้หรอกค่ะ
หากเป็นอย่างที่คุณ เบอะแระ ว่าละก็…ดิฉันขอบอกว่า “งั้นคนดีก็ล้นโลกแล้วซิ”

แต่อันนี้ไม่ใช่ วัฒนธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์เอง ไม่ได้เกิดขึ้นโดยความแกร่งต่อธรรมชาติ
แต่มนุษย์

ธรรมชาติเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อตัวเลือกในการที่จะเลือก สร้างวัฒนธรรมของคนในลักษณะไหนให้ดำเนินชีวิตอย่างไรถึงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ ในธรรมชาติแค่นั้นเอง เราทุกคนบนโลกจึงมีวัฒนธรรมการกิน แต่งกายอะไรไม่เหมือนกัน แต่เป้าหมายจริงๆคือเป้าหมายเดียวกัน..เพื่อชีวิต

ไม่ไหวนะคะ…หากเรามีความคิดที่จะพัฒนาม้งด้วยการละทิ้งวัฒนธรรม ประเพณี และควาามเชื่อต่างๆ ดิฉันเชื่อว่าสิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือ ศึกษาวัฒนธรรมของเราให้ดี มองให้เห็นหลักคำสอน วิถีชิวิตที่มีภูมิความรู้ซ่อนอยู่ แล้วก็รับรู้ถึงข้อบกพร่องบางอย่างของม้งเพื่อนำไปปรับปรุง หรือละทิ้งหากไม่ดีจริงๆ แต่ตอนนี้ดิฉันคิดว่า เราแต่ละคนยังไม่ได้ศึกษากันอย่างจริงจัง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ยกตัวอย่างดิฉันเป็นต้น

การศึกษาทั้งของเขาและทั้งของเรานี่แหละ คือสิ่งที่เรากำลังทำกัน

เคารพคุณทุกความเห็นนะคะ

ชอบการแบ่งปันของคุณ Hmong Thai มากเป็นพิเศษ เพราะสนใจเรื่องนี้มาก แต่พ่อไม่อยากเล่าให้ฟัง เพราะเล่าไม่ได้ เพราะอะไร…ท่านไม่บอก….แต่ก็เคยขอร้องอย่างสุดๆ เลยได้ฟังเวอร์ชั่นที่เข้าใจง่ายๆ ก็มีการเกิดของโลก สัตว์ คน พืช ภูตผีปีศาส การมีชีวิตของสิ่งเหล่านี้ และการดับสูญของสิ่งเหล่านี้ …..เหมือนปรัชญาเลยนะ น่าเรียนมาก และไม่น่าเรียนมาก!!!! เห็นคนฝรั่งทำเป็นหนังสืออกแล้วนะ…มีText English ควบคู่ไปกับภาษาม้ง ก็น่าสนใจดี แต่เสียดายอังกฤษก็ไม่แข่งแรงเท่าไหร่ ภาษาเขียนม้งก็ชักจะไปกันใหญ่ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

(-_-)สาวม้งเชียงใหม่จ้า

Sunday, March 8, 2009

ไม่ไผ่....ม้งเรานำไปทำอะไรบ้าง


ไม้ไผ่นั้นถือว่าเป็นไม้ที่ชนเผ่าม้งนั้นนิยมนำมาใช้ประโยชน์กันมากในเรื่อง ของการสร้างบ้านสร้างอุปกรณ์ของใช้เครื่องตนตรีและอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่าหน้าที่ของไม้ไผ่แต่ละชนิดจะมีการใช้ต่างกันไปตามสภาพของ งานนั้นๆไผ่บางอย่างก็สามารถนำมาใช้แทนกันได้แต่ไผ่บางอย่างก็ไม่สามารถนำมา ใช้แทนกันได้เพราะคุณสมบัติแต่ละอย่างของไผ่ไม่เหมือนกัน เช่นความเหนียว ความหนา บาง ความทน ความสูง ขนาดใหญ่ เล็ก และลักษณะของลำไผ่ ไผ่ แต่ละชนิดจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามการใช้ประโยชน์ ชื่อของไผ่หรืออุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของม้งนั้นถึงแม้จะเป็นม้งขาว เหมือนกันแต่อาศัยอยู่ต่างสถานที่อาจมีการใช้คำหรือศัพท์ที่ต่างกันไปบ้าง โดยไม่สามารถระบุว่าของใครถูกหรือผิด ศัพท์ที่เอามาใช้ในเรื่องนี้เป็นศัพท์ที่ใช้กันในเขตของหมู่บ้านโป่งนก อาจจะมีศัพท์ที่ใช้เพี้ยนไปจากบ้านอื่นไปบางคำ ก็ขอทำความเข้าใจให้ตรงกัน ณ ที่นี้ด้วย และคิดว่าการช็ประโยชนืส่วนใหญ่นั้นคงเหมือนๆกัน ดังต่อไปนี้


1. ไผ่ไร้ (ซ้ง กอ เจี๋ย) เป็น ไผ่ที่ขึ้นตามพื้นที่ทั่วๆไปที่ระดับความสูงไม่มากนักส่วนใหญ่จะพบในพื้นที่ ราบททั่วไป ชนเผ่าม้งนั้นมักจะนำมาทำเป็นด้ามมีด ด้ามจอบ ด้ามเสียม และตอกไว้สำหรับมัดสิ่งของต่าง
ลักษณะ ของต้นที่จะนำมาใช้ในแต่ละอย่างดังนี้ ลำต้นที่แก่ตรงและหนานั้นจะนำมาทำด้ามมีดจอบและเสียมเพราะหาง่าย ขั้นตอนการทำไม่ยาก มีความทน และเบาเมือเทียบกับไม่ชนิดอื่น
ลักษณะของต้นอ่อนมักจะนำมาทำตอกไว้สำหรับมัดสานกักดัก ดักนก ตอกสำหรับมัดสิ่งของต่างและในการใช้ประโยชน์ในเรื่องของการมัดนั้นมักจะใช้ เมื่อสดๆมากกว่าและไม่นิยมเก็บไว้ใช้เมื่อแห้งเหมือนกับไผ่ ชนิดอื่นๆเพราะเป็นไผ่ที่ไม่ค่อยเหนียว เหตุผลที่เรียกว่า “ซ้ง กอ เจี๋ย” เพราะว่าไผ่ไร้นั้นส่วนใหญ่นั้นม้งนิยมนำมาทำเป็นด้ามมีดจึงมีการทับศัพท์ไปตรงๆว่า “ซ้ง กอ เจี๋ย” ซึ่งแปลว่า“ไผ่ด้ามมีด”

2. ไผ่บง (ซ้ง ร้า ต้า) ) เป็นไผ่ที่ขึ้นตามพื้นที่ ที่มีความชื้นทั่วๆไป แต่ ส่วนมากแล้วมักจะพบขึ้นตามลำห้วยหรือในหุบเขาที่มีความชื้นมากๆ นิยมนำมาผ่าเป็นตอกเก็บไว้สำหรับมัดข้าว ฟางข้าว กระสอบ และทำลูกธนูหน้าไม่ ลักษณะของลำต้นที่นำมาใช้นั้นจะเป็นต้นหนุ่มที่ยังไม่มีใบเพราะจะผ่าง่าย เหนียวและเก็บไว้ใช้ได้นานแต่ก็มีบางคนนำต้นที่แก่มาใช้เป็นด้ามจอบเหมือนกัน

3. ไผ่เหี้ยะ (ซ้ง ปุ้ จือ จง) เป็น ไผ่ที่ขึ้นตามพื้นที่ที่เป็นหุบเขาและมีความชื่นสูงลักษณะข้อปล้องยาวบางและ ไม่ใหญ่เหมาะสำหรับทำแก้วขนาดเล็กชนเผ่าม้งนั้นนิยมตัดมาทำเป็นแก้วใน พิธีกรรมต่างๆเช่นพิธีแต่งงาน พิธีงานศพ ของสมัยก่อนและปัจจุบัน แต่ก็มีบางหมู่บ้านที่อยู่ในตัวเมืองที่เลิกใช้เพราะหาวัสดุได้ยาก

4. ไผ่ซาง (ซ้ง ดา) ) เป็น ไผ่ที่ขึ้นตามพื้นที่ทั่วๆไป ตามพื้นที่ราบและภูเขาจะพบมากที่สุดในพื้นที่ๆมีการตัดไม้ทำลายป่าเพราะเป็น พืชเบิกนำ ส่วนใหญ่แล้วจะมีการนำมาใช้ประโยชน์เหมือนๆกับชนเผ่าอื่นคือนำมาสร้างบ้าน ตัดเป็นท่อนๆแล้วผ่าเป็นไม้ฝา สร้างบ้านตามแบบฉบับและรูปทรงบ้าน ใช้แทนไม้แทบทุกอย่าง

5. ไผ่ตง (ซ้ง ตั๋ว จือ) ) เป็น ไผ่ที่ขึ้นตามพื้นที่สูงและมีความชื้นสูงมักจะพบแถบๆลำห้วย ในหุบเขาสูง มีหน่อที่ใหญ่และหวาน ลำต้นใหญ่ข้อปล้องใหญ่และยาว เหนียวมาก ถ้าเอามาทำเป็นไม้ฟากมอดจะชอบกินมากเพราะเป็นไผ่ที่หวานส่วนใหญ่ ชนเผ่าม้งจะนำมาผ่าเป็นตอกไว้สำหรับทำเครื่องจัดสานต่าง อาทิ เช่น กระดง ก๋วย เสื่อ เป็นต้น ถ้าพื้นที่ ไหนหายากก็จะใช้ไผ่ซางหรือไผ่อื่นๆแทนแต่ในเรื่องของความทนนั้นก็ตามคุณสมบัติของไผ่ชนิดนั้นๆ

6. ซ้ง เต็ง เป็นไผ่ที่ขึ้นตามหุบเขาในเขตพื้นที่สูงที่มีความชื้นสูงเท่านั้น จะมีข้อปล้องที่ยาวขนาดลำไม่ใหญ่มากนักเปลือกบางคล้ายๆกับ “ซ้ง ปุ้ จือ จง” ต่างจาก“ซ้ง ปุ้ จือ จง” ที่ข้อ และ“ซ้ง ปุ้ จือ จง” จะมีขนมากเมื่อต้นอ่อน แต่ ซ้ง เต็ง ไม่มีขน ชนเผ่าม้งนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดนตรี เช่น ครุย แครน เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมุลและรูปภาพจากhttp://www.hilltribe.org/autopage/show_page.php?h=39&s_id=52&d_id=49

อยากเก็บความคิดนี้เห็นเข้าคลังหน่อยนะ

ฝิ่นกับม้ง

สวัสดีค่ะ กระทู้แรกที่นี่ และครั้งแรกที่มาที่นี่ค่ะ อยากถามว่า

คิดยังไงกับการมีสวนฝิ่นจัดให้นักท่องเที่ยวเที่ยวชมคะ?
มันยำ้เตือนเราและนักท่องเที่ยวว่าเราเคยปลูกฝิ่นใช่มั้ย
หรือมันเพื่อการศึกษาอย่างเดียว?
เอาไปปลูกเพื่อการศึกษา ควรปลูกไว้ในสวนพฤษศาตร์มากกว่าในหมู่บ้านจะดีไหม?
ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างคะ

เสียงของท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง
ขอความร่วมมือช่วยแสดงความเห็นด้วยนะคะ
ขอบคุณมากนะ

โดย Rain urai.2530@hotmail.com เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม 2551, 00: 36 น. IP : 117.99.60.79
______________________________________________________________________________
ความคิดเห็นที่ 1
ปลูกไว้ที่ไหนครับ
______________________________________________________________________________
โดย คนหน้ามัน เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม 2551, 10 : 41 น. IP : 118.172.71.54
ความคิดเห็นที่ 2

คุณ เจ้าของกระทู้ครับ ทำไมฟาดหัวข้ออย่างงั้นนะครับ ทำไม่ต้องฝิ่นกับม้งด้วยกับ คุณต้องฟาดว่าฝิ่นกับโลก ผมจะบอกให้นะครับ ขณะนี้ประเทศที่ปลูกฝิ่นมากที่สุดในโลกคือ ประเทศอัฟกานีสถาน อันดับสองก็พม่า ส่วนไทยเรา ถ้าจะให้ผมพูดจริงๆ ตอนนี้น่าจะอยู่ท้ายๆแล้วครับ เมืองไทยมี แต่มีน้อยมากแล้ว ฝิ่นเข้ามาทางเมืองไทย สองทางใหญ่ครับ ทางแรกจากเชียงราย เช่น เชียงของ จากลาว แม่สายจากพม่า แม่ฟ้าหลวง จากพม่า และ ท่าสองยาง พบพระ ฯลฯ จากจังหวัดตาก



ขออภัยนะครับผมเถียงแทนพี่น้องม้งหน่อย ในประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับชนเผ่าม้งอย่างเดียวนะครับ ฟาดหัวข้อฝื่นกับม้ง ก็กลายเป็นจำเลยสังคมสิครับ





ส่วนประเด็นการจัดโชว์หรือการตอกย้ำหรือไม่ คุณต้องอ่านประวัติศาสตร์ชนชาติจีน กับการต่อสู้ที่ใช้ฝิ่น ตลอดถึงแถบตะวันออกกลางกับความเชื่อเรื่องฝิ่น



ผมขอแนะนำไรนะครับ ในวงการแพทย์ ก็มีการใช้สารที่มาจากฝื่นเยอะมาก ไม่เชื่อลองไปถาม 'หมอม้ง' คนแรกของไทย'นพ.กันตพงศ์ เล่าลือพงศ์ศิริ' ดูสิครับ

โดย ป.อายิ เมื่อ วัน อังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน 2551, 16 : 42 น. IP : 118.172.96.171
___________________________________________________________________________________
ความคิดเห็นที่ 3
ผม ว่าที่จริงสังคมไทยก็ยัดเยียดเรื่องฝิ่นให้กับคนชนเผ่าอยู่แล้ว เวลาเรียนตอนมัธยมจะเจอบ่อยๆ เหมือนกับที่เขาเรียกเราว่า ชาวเขานั่นแหละ ก็ช่างหัวรัฐบาลไทยงี่เง่าที่ผ่านมา จะเป็นไร แต่ไม่เป็นไรหรอก เราจงเชื่อในความเป็นมนุษย์ ความเป็นสัตว์โลก ว่าชีวิตจริงเป็นอย่างไร เราเป็นลูกในหลวง และผมก็เชื่อว่าในหลวงรักพวกเราเท่าๆกับพวกที่ไม่ใช่เรา แค่นี้ก็ภูมใจแล้ว เรื่องฝิ่นน่ะผมว่ามันเป็นภูมิปัญญาที่ดีของเรานะ ไม่ต้องอายอะไร เมื่อก่อนเราเคยปลูกขาย เสพ ก็จริงแต่มันก็เป็นการเอาตัวรอดของบรรพบุรุษเรา เขาทำดีแล้ว ทำให้มีเราในวันนี้ไง ภูมิใจเถิด ปลูกที่ไหนก็ได้ มันแล้วแต่มุมมอง จงมองว่าเป็นการโอ้อวดความฉลาดที่เราสามารถผลิตขายให้พวกคนพื้นราบติดกัน เป็นแถบๆน่ะ ตอกย้ำความโง่ของพวกมันเยอะ เราฉลาดกว่ามาก จงภาคภูมิใจเถิด

โดย เข็กน้อย dongrak888@hotmail.com เมื่อ วัน อังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน 2551, 20 : 49 น. IP : 203.114.123.90
_________________________________________________________________________________

ความคิดเห็นที่ 4


สวัสดีนะ....เราเจ้าของกระทู้เองนะ.....

เราเองไม่ได้มีเป้าหมายที่จะพูดไม่ดีให้ใครเลยนะ

เราเองก็เป็นม้ง เหมือนกัน เห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตม้งมาแต่เด้ก...เห็นว่าฝิ่นเราก็เคยปลูกกันจริง ในอดีตโดยได้รับการสนับสนุนจากชนชนติอื่นๆ โดยเพาะอังกฤษที่เข้ามาในจีนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ มาอยู่ลาวก็ฝรั่งเศลสนับสนุนอีกให้ปลูกเป็นการจ่ายเป็นภาษี อยู่ไทยปลุกเหมือนกันเพราะทำไปก็เพราะไม่มีการประกาศอย่างผิดกฎหมาย ไม่นานต่อมานี่เองที่ฝิ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ฝิ่นได้ถูกประกาศให้ เป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ม้งทำไปก็เพราะมีคนซื้อ ซึ่งนับเป็นแรงผลักดันสนับสนุน....เรืองอย่างนี้เป็นเพียงเรื่องในอดีตที่ เกิดขึ้นกับเรากลุ่มชาติพันธุ์

แต่วันนี้... ดิฉันมาเห็นกากปลุกฝิ่นตามสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้านม้ง ไม่ทราบว่าม้งปลูกเองเพื่อดึงดุดนักท่องเที่ยวหรือว่าคนอื่นเขาจัดให้.... เมือ่ได้ยิน อ่าน และเห็นสวนฝิ่นในหมู่บ้านม้ง ความคิดในเรื่องอดีตจึงเกิดขึ้นในใจดิฉันอย่างควบคุมไม่ได้....ฉันถามหลายๆ คนที่เป็นม้งด้วยกัน....คำตอบที่ได้คือ...ปลูกไว้เพื่อการศึกษา...ฉันก็เลย มานึกอีกว่า....หากปลูกไว้เพื่อการศึกษาจริง....ทำไมในสวนพฤษศาตร์ของ โรงเรียน หรือสวนพฤษศาตร์ทั่วไปไม่ปลูกไว้ให้คนผ่านไปมาศึกษาหล่ะ....

เหตุนี้เองที่ทำ ให้ฉันต้องการความคิดเห็นจากท่านว่า....ฝิ่นที่ปลูกในหมู่บ้านม้งนั้น... ปลูกไปเพื่ออะไรกันแน่...เพื่อการศึกษาจริงหรือเปล่าอย่างที่ฉันได้คำตอบมา ...ฉันเชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงนี้คือเป็นการทำไปโดยไม่คิดว่าจะมีผลกระทบ ต่อม้ง...ภาพคนแต่งกายม้งยืนถ่ายรูปในสวนฝิ่นของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมัน บอกฉันหลายๆอย่างเกี่ยวกับม้ง....เลยคิดว่า....สวนฝิ่นในบ้านม้งที่เปิดรับ นักท่องเที่ยวนั้นควรที่จะยกเลิกได้แล้ว.....ชุดม้งสวยๆไม่ควรคู่กับดอกฝิ่น สวยๆนะ.....ฉันเป็นม้ง...หากไม่รัก....ก็คงปล่อยไม่พูดอะไรหรอกเหมือนกับม้ง คนอื่นๆที่เฉยๆ...บอกเป็นการทำมาหากินของเขา....ดึงดุดนักท่องเที่ยว...... สำหรับฉันแล้ว....มันไม่ใช่อย่างนั้นอ่ะ!!!!!



ขอบคุณมากนะคะคุณ ป.อายิ ยินดีรับความเห็นของท่าน

และขอบคุณนะคะคุณคนที่อยู่เข็กน้อยสำหรับความคิดเห็นที่ท่านให้มา...



ด้วยรักและห่วงใยม้งกันเอง

นักศึกษาม้ง



โดย Rain urai.2530@hotmail.com เมื่อ วัน อังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน 2551, 21 : 40 น. IP : 117.99.10.224
__________________________________________________________________________________

ความคิดเห็นที่ 5
เคารพทุกความคิดเห็นค่ะ

ดีใจที่ได้อ่านข้อมูล สาระ อันเป็นประโยชน์

แม้บางครั้งจะขัดแย้งกันบ้าง แต่ก็ได้แง่คิด แง่มุม ที่แตกต่างกันไป

อยากให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น นำเสนอ ข้อมูล สาระดีๆ ค่ะ

เวปจะได้ดำเนินต่อ เพื่อให้ความรู้ นำเสนอสู่สายตาคนภายนอก

และลูกหลานๆ รุ่นหลังๆ ได้รับรู้สืบไป
โดย ต้นอ้อ aoae-017@hotmail.com เมื่อ วัน อังคาร ที่ 4 พฤศจิกายน 2551, 22 : 03 น. IP : 125.24.86.219

___________________________________________________________________________________

Friday, March 6, 2009

ชนิดเดียวกัน แต่ร้องหรือขันไม่เหมือนกัน


น่าตลกดีนะ คนเราเห็นสัตว์ชนิดเดียวกัน แต่ลอกเลียนแบบเสียงของสัตว์นันๆไม่เหมือนกัน เนื่องจากอะไรหรือ เพราะสัตว์ชนิดเดียวกันในแต่ละพื้นที่หรือภาคของโลกที่ร้องไม่เหมือนกันหรือ? หรือว่าคนแต่ละซีกของโลกเรานี้มีความสามารถในการได้ยินเสียงสัตว์ที่แตกต่างกันออกไปหรือ? หากใครรู้คำตอบก็อย่าลืมให้คำตอบมาในกระดาษนี้ด้วยนะคะ จักขอบพระคุณเป็นอย่างมาก

ฉันถามคุณเล่นๆอย่างนี้เพราะจำได้ว่า เพราะคืนก่อนโน้นเมื่อปี 2007 วันนั้น พวกเรากำลังนั่งทานข้าวโต๊ะเดียวกันกับเพื่อนต่างที่ต่างถิ่นเหมือนเช่นเคย แต่ว่าเมนูอาหารของวันนั้นพิเศษกว่าทุกวัน มีเนื้อไก่ผัดใส่พริกเค้าเรียกแบบไม่ค่อยคุ้นหูชาวบ้านเท่าไหร่คือ" Chili Chicken" ข้าวผัดจีน "Chinese Fried Rice" ความอร่อยของนี่แหละที่เป็นตัวนำของเรื่องนี้ไปสู่เสียงของสัตว์ต่างๆบนโต๊ะอาหาร

"I eat so much" เพื่อนโรมาเนียเอ่ยออกมา
(วันนั้นฉันก็ไ่ม่ทานเยอะนะ เพราะฉันมักจะหิวก่อนสองทุ่ม)หลังจากเพื่อนพูดประโยคข้างบนนี้แล้ว ฉันก็เลยเอ่ยไปพลางๆโดยไม่ทันคิดว่าไม่ควรเอ่ยไปว่า" ถ้าทานเยอะๆนะ พรุ่งนี้แม้ไก่จะลืมขันให้คุณตื่น แต่ไก่ที่กินไปคงไม่ลืมหรอกที่จะปลุกคุณให้ตื่นแต่เช้าเลย"

อะ อ่ะ อ่ะ..อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ ฉันหมายถึงว่าถ้าทานเยอะๆ พรุ่วนี้ไก่ในท้องจะขันตามทษฏีแตงโมที่เราเคยเรียนรู้จากพ่อแม่ยาม
เด็กว่า" ถ้ากินเม็ดแตงโมไปด้วย ตื่นมาจะมีต้นแตงโมขึ้นจากท้องมายังปากจมูก" ฉันจึงเอามาเล่นๆอย่างไม่รู้กาเทสะเท่าไหร่กับเพื่อน แต่ดูเหมือนฉันจะมีปัญหารนิดหน่อยคือ ไม่รู้ว่าคำว่า "ขัน" ในภาษาอังกฤษเค้าพูดว่าไง ทีนี้ประโยคที่เราพูดไปข้างต้นก็เลยกลายเป็นเป็นประโยคนี้ "ถ้าคุณกินเยอะๆ พรุ่งนี้ "chicken will กู๋กู๊ลูลู่ wake you up early!!! ทีนี้เพื่อนวงแตกเลย ไม่มีใครกินต่อได้ เพราะขำที่เราขันเสียงแปลกๆไม่เคยได้ยิน

ทีนี่เจ้าเพื่อนโรมาเนียคนนี้ก็เลยได้ทีขันมั่ง...แกทำเสียงของไก่โรมาเนียขันว่า "กู่กู๊ ลู่ลู" เสียงนี้ก็คล้ายๆของม้งเรานะ แต่แม่ของเราชอบลากเสียงยาวกว่านี้ ก็รู้ไหมเสียงเพราะทั้งนั้นเลย เพราะกว่าไก่ร้องจริงๆเสียอีก

ความขำของการทำเสียงไก่ให้ชีวิตกับเสียงการร้องของสัตว์อื่นบ้าง เอาล่ะ เสียงเจ้าทุยมั่งทีนี้ ฉันพอจำได้เสียงที่น้องชายชอบทำทักทายกับเจ้าทุยในนาอยู่เมื่อเรายังเด็ก ฉันทำเสียง "งวก งวก" ติดต่อกันหลายครั้ง แต่เพื่อนสักคนไม่มีใครทายได้เลยว่าเป็นเสียงเจ้าทุย ด้วยความที่ฉันเขินๆหน่อยกับเสียงนั้นเลยไม่ได้เฉลยให้เพื่อนๆจนถึงตอนนี้

เสียงเจ้าวัวมั่งคราวนี้ "บ้านเธอควายร้องว่าไง" ฉันถามเขา ทันทีเลยที่เค้าทำเสียงโต้ตอบสะท้อนมาว่า "มู-------" (ลากเสียงยาวๆเหมือนบ้านเราเลย แต่มูมูเท่าั้นั้นที่ไม่เหมือน)ฉันหัวเราะเป็นยกใหย่อีกครั้ง แล้วทำเสียง"มอ------" ทีนี้ถึงทีเค้าหัวเราะอีก....หว้า...สัตว์เดียวกัน สปีชีเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมน้อ เสียงที่มนุษญ์เราให้มันต่างกันจัง

ฉันขออีกเสียงหนึ่งเพื่อนยืนยันทษฏี"สัตว์เดียวกัน แต่มนุษย์เราให้เสียงขันที่ต่างกัน" ทีนีอุไรขอเสียงม้าบ้าง แต่สรุปแล้วเสียงม้าบ้านเราและบ้านฝรั่งร้องเหมือนกัน

อย่าว่าแต่เสียงสัตว์เลย คนแต่ละคนก็ยังหัวเราะหรือร้องไห้ต่างกันเลย บางคนหัวเราะจนไม่มีเสียง บางคนอยู่ๆไม่มีเสียงอะไร แต่น้ำตาไหลริน บางคนร้องอย่างเดียวไม่พอ น้ำมูกมาเป็นเพื่อนด้วย ฉะนั้นจึงขอสรุปว่า เลยคิดไปเองว่าแม้การร้องจะต่างกันแต่ว่าความรู้สึกของผู้มีอาการนั้นแสดงออกมาในทำนองเดียวกันเสมอๆ

พุดถึงเรื่องร้องไห้นี้ชวนให้ฉันคิดถึงวันวานในอดีตที่ยังเป็นหนูน้อยอยู่ ในโรงเรียนจะมีเด็กปกาเกอญอ เด็กเค้าจะร้อง "อื้อ อื้อ อื้อ อื้อ" แต่เด้กม้งเราฉันสังเกตแล้วจะชอบร้อง "ห่า ห่า ห่า" ฉันไม่แน่ใจว่าเด็กคนเมืองร้องกันอย่างไรน้อ แม้กระทั่งเด็กอินเดียเหมือนกันที่ยังไม่เคยได้ยินเลย ไม่มีโอกาสได้อยู่กับเด็กก็เลยไม่ได้สัมผัสตรงนี้....สิ่งที่ขาดของชีวิตในขณะนี้ไปเสียแล้ว

มีความสุขนะคะ...กับวันหยุดของใครหลายๆคนในวันนี้

อะไรวันนี้


เคยถามตัวเองว่าเกิดมาทำไม ?
เกิดมาแล้วได้ชีวิต...แล้วถามอีกว่าชีวิตคือะไร?
ชีวิตคือการมีลมหายใจ...มีลมหายใจแล้วยังไม่พอเหรอ?
เพราะชีวิตไม่ได้เพียงแค่ต้องการลมหายใจ มันต้องการอะไรที่มากกว่าลมหายใจ ฉันและเธอทุกคนถึงต้องเดินขึ้นเดินลงวันแล้ววันเล่าตราบจนถึงวันนั้นวันหนึ่งที่ชีวิตหมดไป เรื่องราวของชีวิตถึงหมดกัน
ฉันแบ่งช่วงชีวิตออกคราวๆเป็นสามชั่วเองในชีวิตหนึ่งๆ ตอนนี้เดินทางมาได้แล้วหนึ่งส่วนสามของอายุไขของคน แต่ว่าจะรู้ไหมเล่าว่าเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ชั่วโมงหน้า พรุ่งนี้ เดือนถัดไป ปีหน้า หรือเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้

เช้านี้ที่นี่ประมาณเที่ยงวันที่ไทย ฉันคุยกับแม่เหมือนเคย แต่แม่บอกว่าแม่ไม่มีอะไรจะให้ เราคิดในใจ " เอ้ะ แม่ต้องให้เราหรือ หรือว่าเราต้องให้แม่" แม่พูดเหมือนรู้สึกผิดที่เราต่างอยู่ไกลกัน ส่วนฉันก็ไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรดี ก็เลยได้แต่เอ่ยอ้างตามทษฏีที่คุณครูสอนมา เหมือนเคยๆคือน้ำตาแม่ไหลเป็นเรื่องปกติสำหรับฉันไปเสียแล้ว

แม่ร้องเพราะลูกไม่รักดีก็มีอยู่สองครั้ง แม่ร้องเพราะความคิดถึงนี้แหละเป็นตัวการทำให้ฉันร้องไห้ตามๆกันเสมอ เคยได้ยินอาจารย์บรรณารักษืที่สะเมิงบอกว่า ใครทำให้แม่ร้องไห้นั้นบาปอย่างมหาศาล ลองมาคิดๆอยู่แล้ว...ฉันก็เคยลองมาเกือบทุกอย่างเหมือนกัน ทั้งดีและไม่ดี...ที่แน่ๆบาปหรือบุญที่ได้เกิดมา...

วันนี้แม่ไม่อยู่กับฉันตรงนี้ วันเวลาอย่างนี้อยากบอกว่าคิดถึงแม่ที่สุดเลย....ฝากความรัก ความห่วงใยให้ฟากฟ้าพาพัดไปโอบกอดแม่ของฉันด้วยเทอญ ส่วนพ่อให้น้องกอดละกันน้อ


ดึกๆเล่นกันมาไม่ทันจะนั่งติดเก้าอี้ ญี่ปุ่นรูปหล่อก็เดินมาซาโยนาระ แล้วบอกปนๆกับภาษาชินจังว่าพรุ่งนี้จะไปเล่นอีก 9pm เด็กญี่ปุ่นพวกนั้นแตกต่างจากพวกเรานะ พวกเค้าก็วัยเดียวๆกันกับเรา แต่ลักษณะการแต่งกายของพวกเขาดูกุ๊กกิ๊กๆ ทำให้พวกเค้าน่ารักกว่าพวกเราจนได้(กิกิ) มานั่งพรางคิดไปว่า เอ้ะ ป่านนี้แล้วหรือ อืม..ยังไม่ถึงเลย...สักครู่ เสียงเสียงหนึ่งก็โต้ตอบมาว่า "ก็เกิดที่ไทยนิ" คุ้นเคยกับนี้ได้ไม่นาน เราพลางคิดในใจว่า" ไอ้หมอนี้ช่างคิดจังเลยแฮะ" อืม...คงเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเราที่มีโอกาสและวันเวลาอย่างนี้ ปกติแล้วก็เฉยๆกับสิ่งนี้ แต่ดูเหมือนเมื่อผู้คนรอบตัวต่างให้ความสำคัญ เราเลยต้องเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสีแค่นั้นเอง อย่างไรก็ตามมีความสุขที่ได้ยินเสียงแรกเป็นเสียงนักดนตรีมาช่วยคลอเคลียกับบรรยากาศดีๆของความเงียบสงบในค่ำคืนนี้ เป็นเนื้อหาเป็นเรื่องราวที่เคยได้ยินมาก่อนแล้วหลายๆปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่เคยได้ยินในรอบปีนี้ เลยรู้สึกปลื้มในเสียงทุ่มๆ ลูกคอสั่นหน่อยๆของเธอ และแล้วก็เหลือไว้แต่ความเงียบให้ตัวฉันคิดต่อเหมือนเช่นเคย
ไม่นานนักเสียงประตูก็มาสะกั้นความคิดฉัน เคาะเป็นจังหวะๆ ทำให้ฉันรู้เลยว่าคือผู้ใด๋ มาสร้างสีสันในค่ำคืนนี้ได้อีกครึ่งชั่วโมง พอพวกเค้ากลับ ฉันก็มาต่อบันทึกนี้ และตอนนี้เพิ่งจะมาดูเวลาก็ปาเข้าไปแล้ว 22...1.38pm เรียบร้อยแล้ว...เฮ้ย!!ตะกี้ยังบอกกะสาวJapaneseว่า 21เลย. อีกหน่อยก็ 33,44,55,66 แล้วจะมีโอกาสได้ตัวเลขเหมือนกันอย่างนี้กี่ตัวก็ไม่รู้เลย...

ขอลืมความทุกข์ จำความสุขสักวันนะ..ขอบพระคุณท่านมากเลยนะคะสำหรับอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้
ต่อไปนี้ลูกโตเป็นสาวนิดหน่อยอีกแล้ว..แต่เสียดายแม่ชราลงอีกนิดหน่อย...ไม่นานวันจะกลับมาอยู่ด้วยแล้ว


โลกนี้กว้างใหญ่ แต่แล้วทำไมฉันอยู่แต่ในโลกเล็กๆแคบๆของฉันอ่ะจ้า??
ได้กุญแจ่เพิ่มอีกดอกหนึ่งแล้วนิ...ก็เดินทางต่อไปสู่คว่มฝันของตัวเองนะ...และเป็นแรงใจให้ทุกคนเสมอ

Saturday, February 21, 2009

วันหยุดราชการแต่จัดงานวันโปรโมทวัฒนธรรมไทยให้วิทยาลัยต่างๆในกัลกาต้าที่มีเด็กไทยศึกษา

ด้านล่างที่หมดนี้คือภาพช้าของกิจกรรมของการจัดกิจกรรมแสดงอาหารไทย และภาพยนต์ไทยให้กับวิทยาลัยต่างๆที่มีนักศึกษาไทยกำลังศึกษานะคะ ฉันรู้สึกงานนี้เป็นงานเลี้ยง หรืองานพบปะสังสรรค์ หรืองานขอบคุณวิทยาลัยต่างๆที่รับเด็กไทยเข้าศึกษา ก็เลยรู้สึกว่างานเดียวแต่มีทุกรส สนุก ซีเรียส และตลกบ้าง จนเหมือนเป็นการสร้างความสัมพันะ์ที่ไม่มีรูปแบบสักเท่าไหร่นัก แต่ได้ผลที่น่าพอใจอย่างดีทีเดียวนะคะ เห็นได้จากใบหน้าและการกระทำต่างๆของผู้คนต่อไปนี้ที่แสดงถึงความประทับใจในวัฒนธรรมไทย


เพื่อนจาก Aushustsoh college จ้า

สาว St.Xavier and Loreto College ประชันกันจ้า..ดูดีๆมีสาวอินเดียแค่คนเดียนะ


นี่นะคุณครูที่ฉันรู้จักแต่หน้าไม่รู้ชื่อมาพร้อมกับเพื่อนๆรุ่นน้องอีก ๖ คนจากวิทยาลับของเรา..ส่วนใหญ่ก็มีแต่เด็กดีนะที่ได้มา..เกือบทุกคนได้ไปเมืองไทยมาแล้ว สับดาห์ที่แล้วน้องคนหนึ่งตัวแทนของรัฐกัลกาต้าเพิ่งจะไปเที่ยวเมืองไทยมาตามการจัดของกระทรวงการต่างประเทศเพื่อโปรโมทประเทศไทยในด้านของวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว...การจัดกิจกรรมอย่างนี้ทำให้คนนอกเข้าใจประเทศไทยมากขึ้นนะคะ


Free พรีเชนเตอร์เม็ดขนุน!!!


ขอมั้งกะเค้าซิ หลังทานข้าวเสร็จ ช่วยดู(ดูจริงๆ ไม่ได้ทำเลย)แม่ครัวเค้าทำขนมครกเองจ้า งานนี้ยกนิ้วให้พี่คนนี้เลยพวกเรา


อาหารไทยที่ให้เด็กไทยและเด็กอินเดียลิ้มลองกัน ได้จัดในลักษณะอาหารบุฟเฟ่ คนหนึ่งทานหลายรอบเลยค่ะ แม้แต่เพื่อนๆคนอินเดีย ทุกคนประทับใจอาหารไทย


หนังที่ถูกเปิดตัววันนี้เป็นหนังดีที่เชื่อมเกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี "โหมโรง"
หนูน้อยทำหน้าตาไม่พอใจพี่หรือไงหา? กิกิ




ข้างบนนี้เป็นสภาพภายในของโรงหนังในบ้านทีี่ฉันมองจากด้านนอกของอีกห้องหนึ่ง

เครื่องเบญจรงค์ที่ถูกจัดไว้แสดง...น่าเสียดายที่เรามีเครื่องสวยๆเหล่านี้โชว์อยู่ในงาน แต่หามีคนที่มีความรู้ไม่มาอธิบายของเหล่านี้



กุ๊กสมัครเล่น!!! หลังกุ๊กแท้ได้ทำการเลร็จเรียบร้อยแล้ว ^-^





อร่อยหรือเปล่าน้อง ตุ้มยำกุ้ง!! หลังจากอดอยากมาตั้งแต่เดือนมกราคมปีใหม่countdown. มื้อแรกของปีแรกสำหรับฉันเองนะ..แซ๊บอีหลีเด้อ..


กุ๊กประจำบ้านโรงหนังวันนี้ และวันสำคัญที่พวกเรามาทาข้าวบ้านของท่าน..กำลังสาธิวิธีการทำต้มยำกุ้งให้เพื่อนๆและอาจารย์ต่างๆที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้



ก่อนกลับมพวกเราและนักศึกษาวิทยาลัยอื่นมาร่วมกันสร้างภาพกัน...



กลับบ้านแล้วยังกลับมาอีกพร้อมกับน้ำใจเล็กน้อยจาก Aushootsoh College คนเค้ากลับไปนานแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเค้าจะกลับมาอีก...ปลื้มมากท่านกงสุลเลยยกขนมไทยให้สำหรับความน่ารักของคุณครูและนักศึกษาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกัลกาต้า



Thanks very much for coming!!! ^-^

Friday, February 20, 2009

ภาพผนังรณรงค์ความยุติธรรม


What is this meant???????????

I can't read Hindi neither Bengali!!!! How can I know!!! I know nothing indeed.


เห็นเข้าไปลึกเข้าๆไปในถนนสายหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นทางหนึ่งที่เข้าไปยังริมแม่น้ำ"Hoogli" ที่จะไหลรวมกับแม่น้ำคงคาก่อนที่จะลงสู่ออ่าวเบงกอล...น้องสาวคนนี้บอกว่าเหมือนฝนังสูงๆสองด้านของถนนเป็นโกดังอะไรสักอย่าง..และแล้วก็ตัดสินใจเดินถอยออกมาพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า รูปภาพที่เต็มผนังสองข้างนั้นหมายถึงอะไร จนกระทั่งเมือ่สักครู่นี่เองที่ฉันเปิดดิกชั่นนารีหาศัพท์ตัวแรก แล้วจึงได้ความหมายว่า" ให้ลงคะแนนเหมือนกับสัญลักษณ์นี้"

อะไรอยู่ใต้สะพาน(2)

ขยับเท้ามาอีกสะพานหนึ่งที่อยู่ไกลมากจากสะพานแรก"Vidyasagar Bridge" เราเดินด้วยเท้ามาด้วยความกระหายน้ำ ไม่มีน้ำให้ดื่มเลย..มีแต่ชาและขนมปังขายอยู่เป็นร้านเล็กๆข้างทาง เดินตรงมาโดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวถ้ากลับจะกลับอย่างไรดี และแล้วก็มาถึงจนได้ แต่ก่อนที่จะถึงสะพานเป้าหมายเรา"Robindra Bridge" ต่อเชื่อมสะพานนนี้ไปยังสะพานนั้น ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นภาพรถนิทรา ขณะที่เพื่อนอีกคนตื่นเต้นเร้าใจกับการวิ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงสะพานเป้าหมายของเรา เห็นแล้วรู้สึกเลยว่าชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากรถคันเหล่านี้ สักวันหมดประโยขน์ หมดเรี่ยวหมดแรง เราก็คงต้องกลับมาพักผ่อนที่เป็นอมตะอย่างนี้ แต่รถหลายๆคันนี้โชคดีกว่าชีวิตของฉันเสียจริง ตรงที่ว่าแม้รถเหล่านี้เก่า ใช้งานไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ถูกละเลย ยังมีคนสนใจที่จะถ่ายรูปมาให้คุณได้ดู...


ใต้สะพานมีอะไรบ้าง

วันนี้ไปเที่ยวกับน้องสาวคนนหนึ่ง มีเป้าหมายคือสะพานตัวนี้ แต่ไม่รู้ชื่อแน่ชัด อยู่ไกลออกไปจากตัวเมือง ไม่รู้ต้องนั่งรถบัสคันไหนไป แต่สุดท้ายก็ได้รถหลังที่นกชนิดหนึ่งที่ฉลาดที่สุดในโลกจะหยดอุจจาระของมันใส่เสื้อคนบางคน เป็นอย่างนี้อยู่แล้วค่ะ แม้เราจะระวังสักแค่ไหน นกอยู่สูงกว่าเรา เราสู้นกไม่ได้ค่ะ นั่งรถมาเรื่อยๆจนกระทั่งเลยสะพานมา จะข้ามไปอีกฝั่ง พนักงานเค้าจะเก็บค่าผ่านด่าน เราพอดีถึงเป้าหมายพอดี เลยลงรถหมดแค่คนละ6 รูปีเอง และแล้วก็ไปเจอสิ่งต่างๆที่ๆม่น่าคาดคิดว่าจะมีอยู่ใต้สะพานนี้ บ้านนี้เมืองนี้ไม่มีเนื้อหมูขายอยู่ทั่วไปเหมือนเนื้อแพะ ไก่ และวัว แต่ดันมีหมูมากมายถูกเลี้ยงแบบปล่อยอยู่แบบธรรมชาติที่ดูแล้วเนื้อหมูไม่น่ากินเลย..สะพานนี้มีชื่อว่า "Vidyasagar Bridge"






คาดว่าบ่อเล็กบ่อน้อยนี้สำหรับหมูตัวเล็กตัวใหญ่ด้านล่างนี้ เพราะมีเพียงหมู่เพื่อนร่วมโลกชนิดนี้อยู่ตรงแถบริมน้ำนั้น


สู้หมูที่บ้านเราได้ไหมเอ่ย...หมูอินเดีย...เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่...ไม่เปิดโลกมั่งเลย

Wednesday, February 18, 2009

นกอะไรบอกฉันที


Sparrow!!
How do you call this bird in your language?

นกกระจอกในภาษาไทย แล้วม้งล่ะ...เรียกว่าไงน้อ...ฉันไม่รู้เลย...

ชื่อดอกไม้ในภาษาม้งที่ฉันควรรู้จัก...สวนRamkrishna

เช้าตื่นมากับความไม่สดใสสักเท่าไหร่ หลังทานข้าวเสร็จเรีบยร้อย เลยขอเวลาทำใจกับดอกไม้ต่างๆในสวน พรางคิดได้ว่าดอกไม้ต่างๆในสวนนี้มีแค่บางชื่อที่เรารู้จัก ที่เหลือไม่รู้จักเลย เพราะไม่ใช้ชื่อภาษาม้งเลย ส่วนใหญ่ก็ทับศัพท์เป็นภาษาไทยหรือภาษาไทยที่ทับศัพท์จากภาษาอื่นมาอีก วันนี้เลยขอนำรูปที่เก็บมาถามเพื่อนๆ หากใครพอรู้ก็ขอให้ให้ชื่อมาหน่อยนะคะ จะเป็นพระคุณยิ่ง



ดอกดาวเรืองหรือคำพู่จู้นี้เราเรียกว่า"ป้างซ้ว" /pa:ŋ tƒua/

พืชต้นนี้ถูกจัดเป็นวัชพืชในสวนนี้ แต่ฉันคิดว่ามันก็สวยดีนะ เลยจัดเป็นดอกไม้ด้วยละกัน ว่าแต่ว่าชื่ออะไรเอ่ย?

กลายเป็นดอกไม้ในสวยนี้ไปเสียแล้ว "ห๋อ-สจ๋อ" /Ho:-ntso:/

เรียกว่าอะไรเหรอดอกนี้ ชื่อภาษาอะไรฉันก็ไม่รู้เลย!!! ดอกหนอนละกันน้อ..!!! เหมือนตัวหนอนเลลย

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย