Wednesday, February 4, 2009

วันที่๒วันแห่งความไม่รู้สึกตัว

คำราชาศัพท์ไม่ได้ ไม่ใช่ไม่แข็งแรง ภาษายังพูดไม่ออก ตักข้าวยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรถึงจะเข้าปากได้พอดีๆ คิดว่าข้างหน้ามีของน่ากินๆอยู่ เดินตามเรื่อยมาถึงถาดสุดท้าย จานข้าวเรายังว่างอยู่ คิดๆอยู่ว่าจะกลับมาตักกับข้าวที่เดินผ่านมา แต่ก็ไม่ได้แล้ว สายเกินไป คนตักทยอยมาเป็นแถวแล้ว สรุปแล้วตักไปก่อนดีที่สุด เข้าพเจ้าเลยตักอาหารอินเดียนใต้ชนิดหนึ่งใส่ๆจานไป โดยไม่คิดเลยว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย ขอให้มีใส่จานเราก็พอ ข้างหน้าจะเป็นไงค่อยว่ากัน เอาหล่ะพระองค์ท่านมานั่งก่อนแล้ว ฉันตักข้าวตามหลัง และมีเพื่อนตามหลังข้าพเจ้าคนหนึ่ง น้องอีกสี่คนตามหลังเพื่อนคนนี้ หลังจากนั้นก็เป็นผู้ใหญที่ตามเสด็จในครั้งนี้ เอาล่ะเราจะทำไงดีตักข้าวเสร็จก่อนเพื่อน ยืนรอเพื่อนให้เข้าโต๊ะไปด้วยกันก่อนนะ แต่พี่อู่บอกให้ตามมาเลย จึงไม่รู้จะทำไงอีก เดินมายังโต๊ะที่กำหนดให้ข้าพเจ้านั่ง ไม่รู้อีกแล้วว่าก่อนนั่งต้องขออนุญาติก่อนแล้วจึงนั่ง หรือว่าต้องทำอะไรสักอย่างก่อนถึงจะนั่ง เอาเป็นว่าอันนี้คงนำมาประยุกต์ใช้ได้ จำได้ว่าเวลาเราจะเขียนคำอวยพรลงในสมุดถวายพรต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และพระราชินิททุกครั้งที่เคยไปทำที่กงศุล เรายังต้องถอนสายบัวก่อนเขียน จึงคิดตามหลักนี้ เลยถอนสายบัวก่อนแล้วประจำที่ แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสถึงปัญหาของชาวบ้านเรื่องปัญหาโรคราของสตรอเบอรี่เป็นอับดับแรก น้องๆและผู้ใหญ่ก็ทยอยมานั่งโต๊ะ ข้าพเจ้าไม่เห็นมีใครถอนสายบัวเหมือนกับข้าพเจ้าเลย จึงคิดว่าสงสัยข้าพเจ้าเองที่ไม่รู้อะไรเลย ทำไปเรื่อย! หลังจากเรื่องของปัญกหาทางการเกษตรแล้ว พระองค์ท่านจับช้อนแล้วเสวย ข้าพเจ้าจับจังหวะไม่ได้ว่าต้องเริ่มทานตอนไหน มองดูผู้ร่วมโต๊ะแต่ละคนก็ยังนั่งนิ่งเฉยๆไม่ได้ปฏิบัติการอะไร ข้าพเจ้ามองไปมองมา คุณหญิงบางท่านที่เดินทางมาด้วยได้เริ่มแล้ว นักเรียนอย่างเราก็เลยเริ่มด้วย ในส่วนของพระองค์ท่านในขณะที่ข้าพเจ้าคิดไปคิดมาเรื่องจะกินตอนไหน ก็ไม่พลาดที่จะแหงนหูฟัง และแล้วก็ทรงตรัสถึงคุณค่าของการศึกษาที่อาจโยงใยไปถึงการพัฒนาผลิตผลของสตรอเบอรี่ กล่าวคือ เรียนอะไรต่อก็ช่าง ขอให้คิดถึงชุมชนของตัวเองด้วยว่าจะได้รับอะไรจากผู้เรียนบ้าง ทันใดนั้นพระองค์ท่านก็ถือโอกาสวาดเส้นทางชีวิตต่อให้กับข้าพเจ้าอยู่ภาพหนึ่งหลังจากจากที่นี่ไปแล้ว และแล้วพระองค์ท่านก็ตรัสถามว่าจะทำอะไรต่อ “หากมีโอกาสก็จะขออยู่ต่อพระพุทธเจ้าค่ะ” แล้วก็เรื่องก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่งที่เลยคือเรื่องป่าไม้ พระองค์ท่านก็ทยอยพูดถึงเรื่องของป่าไม้ ป่าไม่สงวนมีคนเป็นแสนคนอาศัยยู่ในพื้นที่ป่า ชาวบ้านเคยอยู่มาแล้ว ชาวบ้านต้องการรักษาด้วยตัวเขาเอง ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาทำตามแบบฉบับของกฎหมาย ที่พูดถึงนี้หมายถึงป่าชายเลนที่ถูกโค่นเพาระต้องการปลูกใหม่ให้อยู่ในสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด พระองค์ท่านตรัสว่า ตอนแรกไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาโค่นป่าชายเลน เลยได้ไปถามถึงหัวหน้าของกรมป่าไม้นั้น สรุปแล้วพระองค์ท่านตรัสต่อไปอย่างขำๆว่า “เจ้าหน้าที่บ่นว่าใครแอบเอาเรื่องไปฟ้องเบื้องบนห่ะ”

ต่อมาก็เรื่องของข้าว ข้าวที่คนในพระองค์เสวยไม่ได้ แต่สามัญชนทั่วไปรับประทานได้ พระองค์ท่านเล่าว่าเคยเสด็จไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามีข้าวที่ทานไม่ได้เลย ทานแค่คำเดียวแล้ววางเลย อีกที่หนึ่งพระองค์ท่านว่า แค่เห็นทุ่งนาของสองข้างทาง ก็รู้แล้วว่าข้าวไม่อร่อย ขาดทุนแน่ ! อีกที่หนึ่งดูข้าวค่อนข้างสวยเหมือนกัน ชาวสวนเอาปลาไปเลี้ยงในนา สรุปว่าปลาเสียชีวิตนะคะ เพราะถูกสารเคมีฆ่าไปโดยปริยายตามหลักของความจริง

หลังจากนั้นแล้วก็เป็นการไต่ถามนักเรียนแต่ละคนว่าเรียนเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนักของข้าพเจ้าที่มาด้วยกัน พระองค์ท่านทรงแนะนำให้ซื้อตำราไทยมาอ่านเพิ่มเติม มีนักเรียนคนหนึ่งชื่อรัฐธมนูญเรียนแค่วิชาที่ชอบอย่างเดียว นอกนั้นไม่เอาอะไรเลย พระองค์ท่านต้องการชี้อะไรให้เราเห็นน่ะ ? พระองค์ท่านบอกถึงประสบการณ์ของตัวเองในการเรียนภาษาเยอรมัน เล่าว่า มีเพื่อนฝรั่งเศลคนหนึ่ง อย่าลืมนะว่าพระองค์ท่านทรงปรีชาสามารถในวิชาฝรั่งเศลอยู่แล้ว พระองค์ท่านเสด็จไปเรียนวิชาเยอรมันกับเพื่อนฝรั่งเศลคนนี้ เขาทั้งสองรู้ภาษาฝั่งเศลอย่างดี แต่เวลาสื่อสารคนฝรัางเศลไม่ยอมสื่อสารเป็นภาษาฝรั่งเศลเลย ยกเว้นเยอรมัน สรุปคือ การเรียนรู้ภาษาของพระองค์ท่านและของเพื่อนคนนี้จึงไปได้อย่างว่องไว อันนี้พระองค์ท่านคงจะบอกว่า แม้เราจะเป็นคนไทย มาเรียนภาษาอังกฤษ หากเรายังพูดไทยใส่กันอยู่ ก็คงหาโอกาสพัฒนาภาษาอังกฤษไม่เป็น น่าคิด! น้องที่เรียนคอมพิวเตอร์ ก็ทรงชื่นชมว่าเป็นวิชาที่น่าเรียนในอินเดีย น้องสองคนที่เรียนพฤษศาตร์ ก็ทรงบรรยายยาวเลยถึงศาตราจารย์ที่ตามเสด็จพระองค์ว่า “พวกนี้เจอพืชอะไรไม่ได้ เจอแล้วก็จะเริ่มพูด แล้วให็ฉันชี้ว่ากิ่งคือตรงไหน ก้านคือตรงไหน ไม่เคยชี้ถูก” คุณหญิงอธิบายเพิ่มเติมอีกเป็นภาษาที่ใช้ในแวดวงศัพท์ของพฤษศาตร์หลายๆคำเลย แต่ข้าพเจ้าจำได้เพียวคำแค่ว่า “Forum”

ข้าพเจ้าได้แต่ฟังนะในช่วงเวลานี้ จนกระทั่งกับข้าวที่ตักมาได้ทานหมดก่อนเพื่อนอีกแล้ว จะทำไงดีอีก ทานคำเล็กๆไม่เป็น ทีนี้ก็จีบน้ำส้มไปพล่างๆ พี่อู่บอกว่า ไปตักมาทานใหม่ได้นะ ผู้ใหญ่ท่านอื่นๆก็พูดย้ำให้เราไปเติม แต่ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่แล้วหล่ะ ลำบากจังเลย จึงตอบไปว่า “รอเพื่อนๆก่อน แล้วจะไปด้วยกัน” พรสรุปแล้วรอเพื่อนแล้ว ไม่มีใครไปเลย คนเสริฟ์ก็เลยเข้ามาเสริฟ์ชา พี่อู่บอกอีกว่า ไปเอาผลไม้มาทานเลย ไม่ต้องอาย สักครู่พนักงานคนเสริฟ์เข้ามาถามว่าจะเอาอะไรเพิ่มเติมไหม ข้าพเจ้าก็เลยขอผลไม้จานหนึ่ง

สงสัยอึง นั่งข้างๆข้าพเจ้า ถามไปๆมาๆกับน้องคนอื่นเสร็จแล้ว ก็มาจอดสักครู่ตรงหน้าน้องคนนี้ อึ้งครับพี่น้อง ..น้องไม่ตอบเลย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนพระองค์ท่านทรงทวนถามชื่ออีกครั้งหนึ่งว่าชื่อนี้ใช่ไหม เจ้าตัวไม่ตอบได้สุกครู่ และแล้วก็จนได้ ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่กงสุลก็เลยบรรยายสรรพคุณของน้องรักคนนี้ ข้าพเจ้าสังเกตว่า ท่านผู้นี้ไม่ได้ทานอะไรเลย ไม่แน่ใจว่าอึ้งเหมือนกันด้วยหรือเปล่า หรืออาหารอินเดียไม่ถูกปากเอ่ย?

จังหวะนี้ทุกอย่างเริ่มเงียบๆลง ทุกท่านกำลังรับประทานอาหารจะเสร็จ โอกาสของข้าพเจ้าที่จะรู้ว่าจะอยู่ต่อที่นี่ หรือจะกลับไปตามที่รับอยากจะบอกว่าอาหารอินเดียมื้อนี้เป็นมื้อที่ข้าพเจ้สั่งไว้นะ คิดไปคิดมาหากเราจะเรียกพระองค์ท่านจะเรียกว่าอย่างไรดีนะ ...ลองคิดทบทวนตามสูตรของการเรียกผู้ใหญ่ คือ ผู้น้อยจะเรียนผู้อาวุโสกว่าว่า “ท่าน” ทั้งต่อหน้าผู้อาวุธโสผู้นั้น และทั้งเวลาที่เราอ้างอิงถึง ข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าข้าะเจ้าก็ควรจะเรียก “พรไม่ได้แล้ว ก็เลยะองค์ท่านพระพุทธเจ้าค่ะ”คิดไปคิดมาไม่แน่ใจเลยว่าถูกหรือเปล่า แต่สุดท้ายข้าพเจ้าหาคำที่ถูกกว่านี้ได้ จึงได้ใช้คำนี้เรียกพระองค์ท่านไป แต่สำเร็จนะคะ ได้รูปภาพที่เต็มกรอบแล้ว ส่วนระบายสีนั้นก็คงเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง ภายหลังพวกเรานั่งรถกลับ เพื่อนๆขำใส่ข้าพเจ้าว่าไปเรียกพระองค์ท่านอย่างนั้นทำไม ต้องเรียกว่า “ใต้ผ่าละองธุลีพระบาท” อีกคนหนึ่งรับบอกว่าเคยได้ยินคุณอาเค้าเรียกพระองค์ท่านว่า “ ฝ่าพระบาท” อีกคนหนึ่งมาอีกเสียงหนึ่งว่า “ใต้พระบาท” สรุปแล้วข้าพเจ้าเรียกผิดแน่ๆเลย เพื่อนๆถึงหัวเราะกันใหญ่เลย หรือว่าเพื่อนๆเองก็ไม่รู้แฮะ...ที่แน่ๆข้าพเจ้ารับไว้พิจารณานะกับคำว่า “ฝ่าพระบาท” ตัวเลือกที่เหลือตัดทิ้งหมดเลย การเรียนรู้ไม่เสียหลายนะ หากเรียนแล้วจำได้ เอามาใช้ถูกต้อง ก็หมายความว่าใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม...สามัญชนที่ไม่เคย พูดไม่ถูก แต่พระองค์ท่านเข้าใจค่ะ พระแม้ตัวจะติดฟ้า แต่เดินมาดูดินเสมอๆเป็นประจำ คงชินแล้วหล่ะ.....คุณแม่ของข้าพเจ้าเคยถวายผ้าใยกัญชงให้กับพระองค์ท่านแล้วยังพูดออกมาอย่างเต็มใจว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเต็มใจถวายพระพุทธเจ้าค่ะ” ฟังดูแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ลูกสาวคนโตบอกข้าพเจ้าว่าสอนแม่พูดได้หลายวันเลย แต่แม่พูดยากๆไม่ได้ แม่บอกแม่จะเอาของแม่อย่างนี้ สรุปคือ แม่เอาฉบับจากใจแม่จริงๆ แต่ไม่ได้พูดถวายหรอกจ้าไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรแล้ว

หนึ่งชัวโมงผ่านไปแล้ว ถึงเวลาเคลื่อนที่ไปยังอัสสาม ทรงพระราชทานเสื้อสีชมพูเป็นเสื้ออวยพรในวันตรุษจีน “ปีฉลู มีมัจฉา”(ความหมายคือ ปีวัวปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง มั่งมี) อีกแล้วนะรับของจากท่านต้องทำอย่างไร ไม่มีตัวอย่างให้ดูเลย เค้าให้ผู้หญิงไปก่อน เฮ้ย! ทำไงหล่ะ ..อ้าวกราบก่อน..กราบแล้วไงต่อ....ยืนมือสองข้างไปข้างหน้า แล้วสบัดเหมือนกับสบัดมือข้างเดียวเหมือนเวลาเรารับของเล็กๆน้อยๆจากพระองค์ท่าน มือขวาสบัดของมือขวา มือซ้ายก็สบัดของมือซ้าย แต่ให้ตามๆเป็นจังหวะพร้องเพรียงกันกับมือขวา แล้วก็เอื้อมมื้อไปจับ นั่นคือภาคความคิดของส่วนไหนของข้าพเจ้าไม่รู้นะ แต่ต่อมใต้สมองสั่งงานอัตโนมัติให้ข้าพเจ้าแบมือเฉยๆแล้วยืนมือไปรองรับทั้งสองข้าง รับเสร็จแล้ว...เอ๊ะ..แล้วจะกราบลาหรือเปล่าน่ะ...สรุปคือคลานออกไปอีกด้านหนึ่งเพื่อมาเตียมของของเราที่จะถวายให้ท่านบ้าง แปลกจังเลย...ทีรับข้าพเจ้ากราบ...ทีข้าพเจ้าถวาย ข้าพเจ้ากลับถอนสายบัว จริงๆแล้วต้องทำอย่างไรก็ไม่ทราบ ทุกอย่างในวันนี้เหมือนกับต่อมใต้สมองสั่งการทั้งนั้น ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไร ข้าพเจ้าไม่ได้สั่งการอะไรเลยนะ ถ้าผิดก็ต้องโทษให้ต่อมใต้สมองนั่นแหละที่สั่งให้ข้าพเจ้าทำอย่างนั้น
วันนี้นอกจากสมองสั่งงานไม่เป็นระบบ ลิ้นข้าพเจ้าทำงานต่างจากทุกวัน อีกทั้งประสาทลิ้นก็แทบจะไม่รู้รสชาติของอาหารเลย ได้แต่เอาใส่ปากเป็นจังหวะๆ เคี้ยวเบาๆ ตัวตื่นและตื่นเต้นตลอดเวลา อย่างไรก็ตามทุกอย่างที่ข้าพเจ้าตักมา และพนักงานเสริฟ์มา ข้าพเจ้ารับประทานอย่างสะอาดเลยนะคะ เพราะคิดถึงบทที่ท่อง “ข้าวทุกจานอาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขวาง...”เมื่อตอนรับประทานอาหารที่โรงเรียน กลัวเดี๋ยวพระองค์ท่านจะคิดว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กกินทิ้งกินขว้าง เลยทานเสียหมดเลยในอาหารมื้อเช้าของวันนี้ แต่ไม่อิ่มนะ เหมือนเพื่อนๆทุกคนที่ไม่อิ่มเหมือนกัน (กิกิ) ยังล้อเล่นๆกันอยู่เลยว่า ขอกลับไปทานต่อได้ไหมอ่ะ หลังจากที่ส่งเสด็จที่แอร์พอร์ทแล้ว สุดท้ายแล้วข้าพเจ้ากลับมาทานกล้วยสองผลที่ได้มาจากโรงอาหารของพวกเราที่หอพัก ขนมบิสกีทที่เหลือจาการทานของอีกวันหนึ่ง แล้วก็วิ่งไปโรงเรียน

ไปถึงโรงเรียนก็มีการแข่งขันกีฬาของแต่ละระดับชั้น ข้าพเจ้าอยู่ได้ประมาณสักชั่วโมง แล้วก็เดินออกจากวิทยาลัย มีเสียงเหมือนเสียงเชียร์แห่งชัยชนะว่าทีใดทีมหนึ่งชนะจากฝูงชนเยอะๆ ข้าพเจ้าหันมามอง เสียงตะโกนจากผู้คนกลุ่มนั้นเร่งเสียงชี้มายังข้าพเจ้าว่า “Sister’s calling you” ขณะนั้นข้าพเจ้ามีแต่คิดว่าซิสเตอร์คงเรียกถามหาข้าเจ้าเพราะเรื่องของการเสด็จของพระองค์ท่านแน่ๆเลย ไปด้วยความไม่มั่นใจเท่าไรสรุปแล้วข้าพเจ้าจะไมบอกว่าซิสเตอร์เขาว่า สั่งสอนข้าเจ้าอย่างไรบ้าง แต่อยากจะบอกว่า ข้าพเจ้าลืมคิดไปว่า “ข้าพเจ้าหนีออกจากวิทยาลัย” เลยออกมาท่ามกลางผู้คนมากมาย และต่อหน้าต่อตาอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า หากข้าพเจ้าคิดได้ว่าตัวเองกำลังหนีกิจกรรมนี้ ข้าพเจ้าก็คงไม่ออกประตูหลังที่สนามเปิดโล่งให้มีกิจกรรมกีฬาอยู่ ข้าพเจ้าคงออกจากประตูหน้าตามเหมือนร้อยคนที่ได้ออกจากประตูหน้าวิทยาลัยนี้แล้ว หลังจาหนั้น โลกของข้าพเจ้ามืดมิดเลย ต่างจากโลกของเมื่อเช้าที่สว่างสดใสมากที่สุด ทุกอย่างวันนี้วันที่๒ จึงนับจากเช้ายามค่ำเลยเป็นวันแห่งความไม่รู้สึกตัว คิดและทำอะไรไปก็ไม่รู้ในขณะที่ทำ

วันนี้ของข้าพเจ้าจึงเป็นเหมือนกับวันของสองสิ่งที่ต้องการควบคุมให้ข้าพเจ้าอยู่ในกรอบ ข้าพเจ้าจะดีใจมากเกินไปไม่ได้ จะเสียงใจมากเกินไปไม่ได้ จนอารมณ์ของข้าพเจ้าอยู่ในระดับที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ดีใจหรือเสียใจ แต่ที่แน่ๆเลย ข้าพเจ้ากังวลจนไม่ทำอะไรเลย แผนการที่วางแผนว่าจะทำในวันที่๒เพิ่งจะได้ทำเพิ่งสำเร็จเมื่อที่สามที่ไปพบซิสเตอร์ กอดซิสเตอร์ และกราบขอโทษ ซิสเตอร์มา กลัวนะ น่ากลัวตัวเองเหมือนกันก็เลยคิดๆอยู่ว่า หากเป็นการทำงาน แล้วเราทำตัวอย่างนี้ เราก็คงถูกไล่ออกแล้ว ไม่มีคำแก้ตัวใดแล้ว นาทีนั้นรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรต่อตัวเองเลย คุณค่าของตัวเองหายหมดจนรู้สึกว่าเวลาชีวิตของเราควรที่จะจบก่อนหน้านี้นะ จะได้ไม่ได้มารับเรื่องอย่างนี้ แต่ว่าชีวิตจริงแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ คงยังต้องเดินต่อๆไปอยู่ ข้าพเจ้าเลยกลับมาเขียนเรื่องราวเก่าๆทั้งดีและไม่ดี แต่ทั้งหมดน่าจดจำที่ผ่านมาแล้วหลายวันเพื่อมาเตือนมาสอนตัวเองในวันต่อไป....อย่าเหมือนข้าพเจ้าผู้นี้นะคะ...ขอให้ทุกท่านเดินทางชีวิตด้วยความสวัสดิภาพ รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน แม้สังคมจะไม่ให้อภัยก็ตาม สวัสดี

No comments:

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย