Monday, February 16, 2009

วัคซีนป้องกันโรคอกหัก( โดยคุณพุทธินันท์)



"โรคอกหัก" เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและหนุ่มสาวจะเป็นโรคนี้กันได้ง่าย อย่างในยุคอินเดอร์เน็ตนี้ บางคนอกหักแทบทุกวันเพราะมีอาการป่วยชนิดพิเศษที่เขาเรียกว่า"อกหักออนไลน์" เกิดจากการเล่น chat หรือ ICQ
โรคอกหักนี้เวลาเป็นขึ้นมาแล้ว จะมีอาการเจ็บกลัดหนองในหัวอกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ความลึกของหลุมรักที่ตกลงไป คนที่อกหักส่วนใหญ่มักจะมีอาการซึมเศร้า บางคนก็เที่ยวหาคนปลอบใจรอบข้าง บางคนต้องเปิดเพลง PoP ฟังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ (บางทียิ่งเจ็บหนักเข้าไปอีก) ถ้ามีอาการหนักหน่อยก็อาจจะคิดทำร้ายตัวเอง หรือ หนักข้อยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับ"โดดตึก"ขอลาโลกนี้ไปเลยก็มี
จึงขอนำบทความพิเศษ เรื่อง "วิธีคิดป้องกันความพลาดหวังจากความรัก" หรือ "วัคซีนป้องกันโรคอกหัก" มานำเสนอ เผื่ออาจจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ขอเชิญติดตามได้เลยครับ
วัคซีนที่ได้ผลที่สุดในการป้องกันโรคอกหัก คือ
"ต้องไม่ผลีผลามไปคิดรักใครอย่างเด็ดขาด"

"อกหัก" คืออะไร ถ้าตอบตามพจนานุกรมไทย คือ อาการของคนที่พลาดหวังในความรัก ที่จริงความรักแบบหนุ่มสาว หรือ แบบชีวิตคู่ นี้จะมีความทุกข์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่างที่ท่านเคยพูดไว้ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์" แต่ อาการอกหัก นี้จะเป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย คือ เมื่อเราเกิดความรักขึ้นมาเมื่อใด แล้วไม่ได้รับการสนองตอบ ก็จะเกิดการทุกข์ใจขึ้นมาทันที เข้าหลักพุทธธรรมที่ว่า "มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ก็เป็นทุกข์ "

ยกตัวอย่างเช่น
คุณโจเหลือบไปเห็น นส.เจน เดินมา นส.เจน เธอมีหน้าตาสวยงามแบบฝรั่งเพราะเธอเป็นลูกครึ่ง คุณโจจึงเกิดอาการ"ปิ๊ง"ขึ้นมาในบัดดล แกจึงส่งยิ้มและแววตาแห่งมิตรภาพไปทักทาย นส.เจน เพื่อหวังผูกสัมพันธ์ ปรากฏว่า นส.เจนทำตาเขียว สะบัดหน้าพรืด เดินหันหนีไปอย่างไม่ใยดี
เพียงแค่นี้แหละครับ คุณโจก็จะเกิดอาการ "พลาดหวังในความรัก" ชนิดเบา ๆ ที่เรียกว่า "แห้ว" ทันที จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น เราก็จะพบว่าคนเราสามารถที่จะเกิดความทุกข์เพราะความรักได้ตลอดเวลา อย่างที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย สาเหตุก็เพราะเกิดจากการด่วนผลีผลามเที่ยวไปรักคนนั้นคนนี้อย่างไร้สตินั่นเอง
คนเรานั้นไม่สามารถที่จะไปบังคับใจให้ใครมารักเราได้ตามความปรารถนาได้ และเมื่อเรารักใครแล้วมันไม่สมปรารถนา ผลก็คือจะเกิดอาการ "อกหัก" หรือความรู้สึกพลาดหวังจากความรัก โดยอัตโนมัติ นี้เป็นกฏที่เป็นไปตามหลักเหตุผลตามธรรมชาติ

"การไม่ผลีผลามไปรักใครอย่างเด็ดขาด" จึงสามารถป้องกันอาการอกหักได้อย่างแน่นอน
"โห..! พี่ เล่นบอกไม่ให้รักใครอย่างนี้ พูดง่ายดี แต่ทำยากนะพี่ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ให้ไปรักใครแล้ว ผมมิต้องอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ลูกเมียไม่ต้องมีเลยเรอะ อย่างนี้ก็ตายพอดีสิ"

แน่นอนว่าเสียงคำทักท้วงประเภทนี้จะต้องมีแน่ จึงขออธิบายต่อไปเลยว่า คำว่า "ไม่ผลีผลามคิดรักใคร" นั้น คงต้องเข้าใจคำว่า "ผลีผลาม" ให้ชัดเจนเสียก่อน
คำว่า"ผลีผลาม" หมายถึงการกระทำใดใด ที่ขาดสติ รีบร้อนรนด่วนกระทำ มีผลให้ได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำของตนนั้นๆ
ยกตัวอย่าง คนที่มีนิสัยผลีผลาม เมื่อมาเห็นชามน้ำแกงเดือด ๆ มีลูกชิ้น หมูสับ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ด้วยความอยากของตัวเอง เขาจึงรีบเอาช้อนตักน้ำแกงเดือดนั้นซดเข้าปากทันที ผลจากการผลีผลามด่วนกระทำลงไปเป็นเช่นไรก็คงจะเดากันได้
ตามหลักพุทธศาสนา ท่านว่ายังมีความรักอีกประเภทหนึ่งที่มีไม่มีโทษ มีความบริสุทธิ์ เกื้อกูลต่อสุขภาพจิต เป็นความรักที่ปราศจากขอบเขต ที่เรียกว่า "เมตตา" พระพุทธเจ้าของเรามีความรักแบบ"เมตตา"อย่างไม่มีประมาณ ท่านจึงสอนบ่อยๆ ในพระไตรปิฎกให้ชาวพุทธให้รู้จักเจริญเมตตาทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพจิต ทำให้มีสติปัญญาแจ่มใส และ อานิสงส์ที่คิดว่าน่าจะถูกใจสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็คือ "เมตตา" จะทำให้ผู้เจริญภาวนานั้นกลายเป็นบุคคลที่เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
"เมตตา" เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้เป็นประจำทุกวัน (แนะนำให้อ่านเทคนิคสร้างความรักแบบเมตตาอย่างง่าย ๆ ) คนที่มีเมตตาเวลาเขาได้พบเห็นใคร เขาก็จะมีเมตตากับคนนั้นก่อนเลย โดยไม่เลือกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนหนุ่มสาวหรือคนชรา ความเมตตาเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ความรักชนิดนี้มีอยู่ในใจของผู้ใดแล้ว ความรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยวของผู้นั้นก็จะหมดไปเอง
แล้วทีนี้ในความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อเราได้มีโอกาสพบปะผู้คน ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เราก็จะได้รู้จักผู้คนมากมาย ในจำนวนนี้อาจจะมีเพศตรงข้ามที่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ที่อาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา ในขั้นแรกของความสัมพันธ์ที่ดีคือ "มิตรภาพในเชิงเมตตา" คือ มองเห็นเพศตรงข้ามเหมือนญาติสนิท มีความรักใคร่กันเหมือนญาติพี่น้อง ช่วยเหลือกันและกัน
ทีนี้เมื่อมีความสนิทสนมรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ได้เห็นข้อดีข้อบกพร่องของแต่ละฝ่ายและยอมรับกันได้ ความรักในเชิงหนุ่มสาวก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเอง ในบางครั้งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยกัน ย่อมมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตรงนี้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจตามธรรมชาติมันก็
เกิดขึ้น และก่อตัวเป็นความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ
นี้คือวิธีเลือกสรรคู่ชีวิตด้วยการน้อมนำคุณธรรมข้อ "เมตตา" มานำชีวิตให้ดำเนินไป ความรักแบบนี้จึงไม่สะเปะสะปะ ไม่ต้องไปเที่ยวรักคนนั้นคนนี้ทั่วทิศทั่วแดน กลายเป็น "คนเหงาจังเลย" อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป อนึ่ง พึงควรระวังไว้ว่า ความรักที่ปราศจากความเมตตานั้น เป็นความรักที่เอาเปรียบกันได้ง่าย บางทีถึงขึ้นหลอกลวงกัน หรือ ก่ออาชญากรรม

แน่นอนที่สุด คนที่ชอบรักแบบผลีผลาม ก็ย่อมจะต้องพบกับอาการ"อกหัก" อย่างแน่นอนที่สุด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย
"รักอย่างมีสติ" จะห่างไกลจากคำว่า "อกหัก" เพราะรักนั้นเริ่มต้นด้วยคุณธรรม ไม่ใช่เอากิเลสมานำ
ความเมตตาจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้เรามีความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนทางที่ถูกต้อง
คนที่มีเมตตาประจำใจย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ในบรรดาผู้คนทั้งหลายที่มารักใคร่เรา ในจำนวนนั้นย่อมจะมีคู่ชีวิตในอนาคตของเราอยู่ในนั้นด้วย
ให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นไปตามครรลองแห่งธรรมชาติ
แล้วชีวิตของเราก็จะสมดังความปรารถนาโดยไม่ต้องไปเที่ยววิ่งแสวงหาแต่อย่างใด

(พุทธินันท์ เสริมสุขพันธุ์)
เรียบเรียง

ขอขอบคุณมากนะคะสำหรับบทความดีๆที่ย้ำเตือนการกระทำของหลายๆคนได้เป็นอย่างดี และย้ำเตือนหลายๆคนอย่างเราได้เป็นอย่างดีมาก....ขอบคุณมากนะคะ หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยขน์ต่อคนอีกหลายๆคนนะคะ จึงได้ขออนุญาตฺเจ้าของบทความพี่พุทธินันท์มาลงให้ให้อ่านกันบ้างนะคะ...สุขกับการใช้สายตาอ่านนะคะ ยาวหน่อย แต่ตั้งใจอ่านนะ แล้วคุณจะได้อะไรที่มากกว่าที่คุณคิด

No comments:

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย