Wednesday, December 31, 2008

วันทีไม่ปกติ

ตกเย็นมา ไม่ได้มีเป้าหมายจะไปไหนเลย รู้แต่ว่าวันนี้ต้องอยู่ในเนต
แต่พอดีปลั๊กไฟเสียได้หลายวัน ไม่ได้ตั้งใจไปซื้อมาได้หลายวัน วันนี้ตกเย็นมา ก่อนถึงวันนั้นของปีใหม่
ฉันดูเหมือนเวลาของตัวเองสั้นลงทุกวัน เลยรีบซื้อ รีบหาอะไรที่ตนไม่มีมาไว้ก่อนที่จะถึง ขณะเดียวกันเริ่มคิดถึงชีวิตของนาทีต่อไป..ไม่รู้จะทานไรเป็นมื้อสุดท้ายของปีนี้ เลยมีเป้าหมายไปซื้อปลั๊กก่อน แล้วก็เดินเรื่อยๆ สังเกตบรรยากาศปีใหม่ข้างนอก เดินไปที่ร้านที่นั่งทานเป็นครั้งคราวกับเพื่อนสนิท พอไปถึงต้องเดินออกมา เพราะคนเยอะเสียเหลือเกิน จนฉันคิดว่าเรากินอะไรก็ได้ที่ง่ายๆกว่าหมี่ผัดดีกว่า เดินไปอีกร้านหนึ่ง คนก็เต็ม ฉันก็เริ่มเดินจากมุมนั้น ข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง สุดท้ายก็มาซื้อเลย์ห่อหนึ่ง คิดในใจสงสัยเราไม่อิ่มแน่ ก็เลยแวะมาซื้อน้ำขวดขวดหนึ่ง นั่นคือน้ำแอ้ปปี้
เดินออกมาจากร้าน แวะมาร้านหนังสือ ผู้คนเดินไปๆมาๆเป็นคู่ๆผ่านหน้าของฉันไปแล้วคู่แล้วคู่เล่า ในขณะที่ฉันเพียงแค่รอจ่ายเงินค่าหนังสือเล่มสุดท้ายของปี ฉันแต่งตัวสวยดีนะ เหมือนกำลังจะไปข้างนอกกะเพื่อนๆ ผู้คนมองดูฉันแปลกๆ นับจากมีน้ำขวดขวดใหญ่ถืออยู่ในมือ อีกมือหนึ่งถือปลั๊กไฟไว้ อีกมือหนึ่งก็ถือขนมเลย์ไว้ด้วย ยุ่งกันไปหมด...เดินมาอีกนิด พลางคิดว่าเราต้องซื้ออะไรไปทานเสียหน่อย เพื่อเตือนความทรงจำของเย็นนั้น จึงค่อยๆเดินอย่างไม่รู้ว่าจะไปไหนเรื่อยๆ ประมาณสักช่วงหนึ่งของถนนที่ฉันคอยเดิน ก็เห็นร้านอาหารจีนอยู่ คิดในใจว่าร้านนี้น่าเข้าดีเน้อ เลยขยับเท้าเข้าไปที่ประตู เราคงไม่กล้าเข้าไปนั่งโดดๆคนเดียวอย่างนั้น เพราะแต่ละโต๊ะนั้นมีเป็นคู่ๆอยู่ทานข้าวด้วยกัน แม้จะมีโต๊ะว่างๆอยู่หลายโต๊ะก็ตาม ฉันเลยถอยกลับแล้วคิดในใจว่า...อาหารมื้อเย็นที่ดีที่สุดสำหรับฉันวันนี้ไม่ใช่อาหารที่ต้องทานข้างนอก แต่อาหารที่ทำเอง อาหารข้างนอกวันนี้มีไว้สำหรับคนมีคู่เฉยๆ..มือสมัครเล่นอย่างเราต้องฝึกทำอาหารให้เก่งกว่านี้ จะได้ไม่ไปกินข้างนอก วันนี้ฉันเลยกลับมาทำกับข้าวเอง จัดการเองทุกอย่างที่ทำ แต่ก็ไม่หมดนะ

เรากลับมาด้วยภาพที่มองดูโลกของเราแล้วช่างแคบเสียจริงๆ รู้ทางเพียงไม่กี่ทาง วันนี้ได้ข่าวว่าพี่น้องเราเสียไปคนหนึ่งเพราะเหตุของการโจมตีกันของวัยรุ่น และโจ๋ในงานปีใหม่...ฉันเสียใจนะที่ได้ยินอย่างนั้น แค่เรื่องของฉัน ฉันก็ยังไม่ไหวแล้ว เรื่องของพวกคุณอีก ยิ่งทำให้ฉันตัวเล็กลงที่วี่ทุกวัน...สงสารกันบ้างซิ อย่างไรก็ตาม ฉันขอให้ทุกอย่างสงบลงโดยเร็วนะ...ขอให้ทุกฝ่ายโชคดี และฉันเองก็โชคดีดีด้วยนะ

เดินต่อไปนะ...พรุ่งนี้จะลุกมาพร้อมกับเราตัวเราที่แท้จริงอีกครั้งกับความเป็นปกติของสังคม ...ดีใจจังเลย พรุ่งนี้มีคนเดินกันเป็นเลขคี่บ้างเลขคู่บ้างบนท้องถนนเหมือนปกติแล้ว ...ไม่เหมือนในวันนี้ที่ฉันเห็น...สะท้อนใจคนเสียเหลือเกิน...การกำลังจะเปลี่ยนแปลงของเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และการเดิน

Friday, December 26, 2008

Miss Miss Home Universe ประจำปี 2009

Miss Miss Home Universe 2009

This year,the world has voted me to be the "Miss Miss Home Universe 2009"
,just that I miss home much more than any year before. I do not know what is happening in me. All the time I think of my sweet home fulled of my dear ones. I think of my small village where there are people ready to help one another.

A little boy always makes my heart jump up and down like a little dancer.I do not really know why I have not changed mentally by time. All these,just make me isolated from the world when I miss all of them together for the time. This makes a lonely person like me think of such things all the time.
A few months to go,Rain, keep it up. There are people who are looking for you as well.
They are waiting to meet you at the same time. Time will bring you to meet whom you miss.

สำหรับการประกวดนางสาวคิดถึงบ้านของโลกปีนี้..คงไม่มีใครรู้จักเจ้าเด็กสาวคนนี้ ผู้คุ้นเคยกับการครองแชมป์นางสาวคิดถึงบ้านมาโดยตลอด โดยเธอสามารถรักษาตำแหน่งติดต่อกันมานับสามปีถ้วนแล้ว..เธอผู้นี้ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วทุกมุมบ้านของเธอ..สาเหตุที่เธอยังคงครองตำแหน่งนี้ได้ เธอเปิดเผิญออกต่อสื่อเสมอว่า เพราะมีแต่เธอคนเดียวที่อยู่คนเดียวมานาน อีกทั้งวัดค่าดีกรีความคิดถึงผู้คนได้ในระดับที่สูงมากเกินความจำเป็น ซึ่งถือว่าปีนี้เธอเองก็ทำคะแนนได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้..จาการถามตัวเธอว่าตำแหน่งนี้ ปีต่อไปยังคงเป็นของเธอแน่นอนเลยหรือไม่...เป็นที่น่าตลกที่เธอไม่สามารถตอบคำถามของเราได้ แล้วโยนคำถามด้วยความอ่อนล้ามาให้ทางเราอีกว่า "ตำแหน่งนี้เธอยังคงครอบครองไปอีกกี่เหรอ??"

...ตลอดเวลาฉันคิดถึงบ้าน บ้านไม่ได้สวย ไม่ได้หรูอย่างของคนข้างบ้านเค้า ถือว่าไม่เก่าและไม่ใหม่แต่ก็ควรสร้างใหม่ได้แล้ว คิดถึงหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยอุ่นไอของการช่วยเหลือกัน คิดถึงภาพของการแอบมองหนุ่มน้อยตื่นเช้าไปสวนแม้เจ้าอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แล้วรอทั้งวันจนหนุ่มนี้กลับมาบ้านอีกครั้งเมื่อดวงดาวก็ประดับฟ้าระยิบระยับล้อมเคียงกับพระจันทร์ ส่องสว่างสร้างทางให้ฉันรู้ว่า คนขยันอย่างพวกเขาเพิ่งจะกลับบ้าน เจ้าคงคิดถึงคนรักของเจ้าเหมือนฉันคิดถึงบ้านตอนนี้เน้อ...หรือเปล่าล่ะ

การมีทุกอย่างครั้งหนึ่ง แล้ววันหนึ่งเราได้ขาดไปทุกอย่างอย่างนี้ มันจึงทำให้ฉันคิดถึงและได้แต่คิดถึงเท่านั้นที่เป็นไปได้
ยิ่งปีใหม่บรรยากาศอย่างนี้ ชวนให้ฉันนั้นใจเต้นระบำอยู่คนเดียวในวิมานของการจินตนาการที่อนุญาติให้ฉันคิดทุกอย่างอย่างไม่มีอะไรขวาง ฉันอนุญาติให้ฉันคิดถึงเธอบางคนที่เพียงอาจมาเล่น มาแกล้ง มาทำให้ใจเราไม่เหมือนแต่ก่อน ฉันใจไม่นิ่งกับสิ่งที่ไปๆมาอย่างนี้ ไม่รู้ว่าอาการอย่างคืออะไร ...ไม่เหมือนกับสิ่งที่บ้าน ที่เมือ่ไหร่ก็ตามฉันบอกว่าคิดถึงบ้าน อาการคิดถึงบ้านก็ออกมา แต่สิ่งที่ไม่ใช่อยู่ที่บ้านนั้น หากฉันบอกว่าคิดถึง แล้วฉันก็รู้สึกคิดถึงพร้อมๆกับความไม่เข้าใจตัวเอง

จาการสัมภาษณ์น้องคนนี้หลังได้รับตำแหน่งนี้ น้องเค้าอธิบายว่าสาเหตุที่น้ำตาคลอเคลียงบนใบหน้าอยู่บนเวทีทันทีที่รู้ว่าแชมป์อีกแล้วนั้น น้องให้ความเห็นว่า"การอยู่คนเดียวสอนให้แกร่ง สอนให้รู้รสชาติที่แท้จริงของความเหงาจนหง๋อย ที่สำคัญคือไม่สอนให้คิดถึงตัวเอง แต่คิดถึงผู้อื่นมากว่า" ก่อนที่เธอจะจากเวทีประกวดนี้ไป เธอได้ทิ้งท้ายไว้ว่า"ปีหน้าแม้จะได้แชมป์อีก แต่ขอสละสิทธิ์นี้" จากนั้นแล้วเธอก็เดินจากไปคนเดียวท่ามกลางความมืดที่ไร้ซึ่งทิศทาง...ด้วยเหตุนี้เอง..ปีหน้าเราจึงรับรองได้เลยว่า เค้าผู้นี้ยังคงรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้อีกโดยแน่นอน

จะมีสักกี่คนหน่อที่จะเป็นดั่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเด็กน้อยนี้...แต่สู้ๆนะ
กำลังใจจากฟากฟ้า ฟ้าทั้งฟ้านี้เป็นกำลังให้เธอละกันนะ....
๒๗ ธัวนวาคม ๒๕๕๒

Thursday, December 25, 2008

ฉันชื่อ"ไร้ตัวตน"นามสกุล "แต่มีน้ำหนัก"

ฉันชื่อ"ความรักไร้ตัวตน"...นามสกุล "แต่มีน้ำหนัก" จ้า

ความรักนี้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่นะ นำสรรพสิ่งทุกอย่างที่อยู่ร่วมกันเป็นธรรมชาติได้ นำทุกอย่างหมาหล่อมให้กลมกลืนกันได้
ความรักเป็นชื่อที่เราตั้งชื่อให้กับอารมณ์และความรู้สึกถึงสิ่งหนึ่งๆ อาจมีชิวิตก็ได้ หรือไม่มีก็ได้ ที่วัยรุ่นเราเข้าใจกันนั้นคงอาจหมายถึงความหมายที่แคบเกินไปสำหรับการให้ความหมายของความรัก
ก็อย่างว่าแล้วกระทู้ที่เขียนมาก่อนหน้านี้คือ รักไม่มีคำอธบาย เมือ่ไหร่ก็ตามที่เราอธิบายความหมายของมันป้าบ เมือนั้นกลายเป็นว่าไม่ใช่ความรัก เป้าหมายหลักจริงของความรักนั้นก็เพียงการทำให้สิ่งอื่น ผู้อิ่นและตัวเองมีความสุขไปด้วยที่ได้รัก มันไม่มีตัวตนก็จริง แต่มันมีน้ำหนักที่ดีและไม่ดี มันแตกสลายได้ แต่ว่ามันไม่ตาย นั่นคืออิทธิฤทธิ์ของความรัก
บางคนที่สมหวัง ความรักก็จะเป็นเสมอเหมือนดั่งน้ำหวานที่สดชื่นแก้วหนึ่ง..ขณะเดียวกันมันเป็นยาพิษคร่าหัวใจคนที่ไม่สมหวัง ผู้คนทุกคนล้วนแต่มีประสบการณ์เรื่องของความรัก ผู้ที่ผ่านมาแล้วคงจะมีหนทางเดินที่กว้างขึ้นกว่าผู้ที่ไม่เคยประสบมา รู้อย่างนี้แล้วเราไม่ควรหรือที่จะมียารองรับหัวใจคนผิดหวังไว้ รู้อย่างนี้แล้วทำไมเราถึงกล้าเสี่ยงชีวิตอย่างนี้ รู้อย่างนี้แล้วรักใครก็หัดเผื่อใจบ้างในครั้งหน้า ที่คิดจะรักใครอีกนะจ้า ....Okay ? แต่ถ้าให้รักตัวเองทุกวัน แม้ไม่มีใครมาเติมก็ตาม ก็จะไม่มีวันหมดจ้า...สู้ๆๆ ปีใหม่แล้ว

มีอย่างนี้บ้างไหมในชีวิตคุณวันฉลองครบรอบ...



ครอบรอบวันเริ่มรัก 23 Otc 2008

วันเกิดของความรักระหว่างคนสองคนครบรอบแล้ว ฉันเองก็แปลกฉันด้วยเหมือนกันว่า ทำไมถึงมีวันอย่างนั้นด้วย แต่แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไปร่วมงานงานแห่งความรักเกิดของคนสองคน คิดๆแล้วการมีวันอย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี เหมือนช่วยย้ำความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ฉันเองหลั่งจากทานข้าวมื้อเที่ยงวันนี้กับพรรคพวกแล้ว เราก็หาทางไปเที่ยวกันไปเที่ยวกันที่South City Mallก็เป็นห้างอย่างดีทีสุดในเมืองนี้นะ เพิ่งเปิดตัวปีนี้เองมีสปาของไทยเข้ามาทำธุรกิจที่นี่ด้วย ความสนใจของเราไม่ได้เพียงไปใช้เวลาให้สิ้นเปลื้องและรับแอร์เย็นๆกลิ่นอาหารหอมๆแค่นั้นหรอก วันนี้เราเริ่มต้นด้วยการสร้างทางเราไปยังร้านขายหนังสือ Star mark หยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งกวาดตาไปเล่นๆมันบอกอะไรกระซิบหนูฉันว่า ฉันควรซื้อนะ แอบไปดูราคาก็พอจ่ายได้ มีตังต์วันนี้แค่ รูปีเอง แต่คิดว่าสิ่งที่ไม่ควรจ่ายเรายังจ่ายได้โดยไม่คิดมาก แค่หนังสือดีๆอย่างนี้เราจะลงทุนไม่ได้เหรอ เหตุนี้เองทำให้ฉันจับมาเก็บโดยไม่คิดอ่านต่อไป เดินมาหยิบอีกเล่มหนึ่งเป็นหนังสือแปลหนังสือเล่มสุดท้ายที่เล่าจื้อเขียนให้กับชาวสวนคนหนึ่งก่อนจะหายไปโดยไม่มีใครทราบ

ฉันอ่านดูไปเห็นว่าตรงกับความสนใจของตัวเองที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตเลย พลิกดูด้านหลังเพื่อดูราคา

หลายรูปีเลย ตัดสินใจไม่ซื้อ จึงนั่งอ่านไปจนเกือบหมดเล่ม เป็นหนังสือเล่มไม่ใหญ่เท่าไรนัก วาดลูกตาไปแป้บหนึ่งก็หมดแล้ว แต่ดูเหมือนอ่านแล้วเก็บอะไรมาไม่ได้เลย

จำเพียงได้ว่า

Color blinded eyes

Sound deafened ear

taste flouvered bud.



And the other is.....


Man follows the earth

the earth follows the universe

the universe follows the Toa

มีอีกมากที่น่าเรียนรู้ แต่เรายังไม่ได้เรียนเลย เดินทางมายังชั้นล่าง เห็นหนังสือเล่มหนึ่งใหญ่มาก เป็นหนังสือคอมพิวเตอร์ก เล่มใหญ่มากเลย พอเป็นที่นั่งให้ฉันได้ เปิดอามาดู โอนี่หรือหนังสือ หนักก็หนัก โอนี่แหละความรู้ที่แน่นแฟ้นแท้จริง

ฉันคงไม่อ่านหนังสือเล่มโตๆอย่างนั้นหมดแน่นอน คนเขียนช่างเขียนเสียจริงๆ เดินออกมาข้างนอกมาทานโมโม้ แล้วก็มารอรถบัสข้างทาง รถบัสไม่มา เรารอครู่หนึ่ง คนขับแท็กซี่ก็เลยแนะนำให้ขึ้นรถของแก แต่เราไม่ หลังจากพูดเส็จ ตำรวจมาาถึง ก็ให้แกกรอกเอกสารบางอย่าง ขาพเจ้าไม่แน่ใจว่าอะไร ด้วยความอยากรู้ เลยเดินเล่นๆชำเลืองตาไปดู ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่ที่พวกเราทุกคนสันนิฐานคือ จ้าคนนี้ถุกปรับและยึดบางอย่างแน่ เพราะแกจอดรถข้างถนน เราเลยว่ากันว่าสงสารลุงนี้จังเลย เขาหาเงินใช้แต่ก็ต้องใช้เงินค่าปรับ ฉันเลยว่า อืมถ้าเรานั่งรถแกนะ แกก็คงไม่ถูกปรับเน้อ แต่อีกเสียงเข้ามาว่า ไปบัสแหละถูกกว่า ทางมาเราปล่อยให้อีกกลุ่มหนึ่งมาแท็กซี่แต่เรามาบัส เหตุผลทุกอย่างที่ทำไปก็เพราะประหยัดแหละ ทั้งวันนี้ก็ทำได้แค่นี้ เห็นพี่ศักดิ์บอกว่าวันนี้เป็นวันที่ม้งเราสูยเสียคนสำคัญคนหนึ่งของม้งไป วึ่งข้าพเจ้าเองไม่ทราบว่าใคร แกไม่ได้บอก เพียงให้เราหา เราไม่ได้หา ก็เลยไม่รู้ แต่ที่แน่ๆเลยวันนี้เปฺ็นวันสำคัญหลักๆคือ

1.วันนี้เป็นวันแห่งความรักของคนคู่หนึ่งในโลกที่รักกันครบรอบหนึ่งปี

2.วันนี้เป็นวันที่ฉันได้ลิขสิทธฺ์การเป็นเจ้าของหนังสือ God loves Fun ด้วยราคา 100 รูปี

3.วันนี้เป็นวันที่ฉันเหลือเงินในกระเป่าไม่กี่ตังต์เพราะซื้อความสุขกลับมาหมด

4.วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันเปิดให้ใครเห็นฉัน

5.วันนี้เป็นวันที่ฉันตื่นสายที่สุดเพราะรอท้องกินข้างเที่ยงกับเพื่อนๆ

6.และวันนี้เองที่ทำให้ใจฉันสบายขึ้นหลังจากทุกอย่างจบลง แล้วฉันจะได้นอนบ้างแล้ว หากวันยังมีต่อ ฉันคงต้องเขียนต่อเรื่อยๆ งั้นขอบคุณที่มีวันและคืนให้ฉันได้ทำงานและพักผ่อน

Rain

ผู้นี้บอกฉันว่า...ความรักไม่มีคำอธิบาย


Love has no words!!!

Sri Sri Ravi Shankar says that" the experince of true love,or love gratitude,cannot be expressed in words.Real beaty and friendship has no words."



Then he asked me "what do you want from your frinds ?" My mind answered him" I want them to talk to me "



He then continued"Their words,their saying nice things to you or just their presence? We don't know because we have

มารู้จักเรา...เกร็ดความรู้ม้ง


มารู้จักเรา...เกร็ดความรู้ม้ง

วันนี้ขอพาพวกเราที่ไม่รู้จักม้งมารู้จักตัวเองเสียหน่อยนะคะ


๑.ทำไมกับข้าววม้งถึงจืด?

สมัยก่อนม้งปลูกข้าวและทอผ้าม่างไปแลกเกลือกับจีน มีบ้างที่เอาไปแลกโลหะเงินมา แต่ด้วยคุณภาพโหละของจีนที่ไม่ค่อยดีนักดี ม้งจึงแลกเฉพาะเหลือกับปลามาเท่านั้น ม้งไม่ได้ผลิตเกลือหรือผลิตไม่ได้ในสมัยก่อน อาหารของม้งจริงๆหรือดั่งเดิมจึงแต่ไหนแต่ไรถึงมีรสชาติที่จืดไงเล่า...จริงๆแล้วก็อร่อยดีนะ..ว่ามั้ยเอ่ย

๒.ทำไมก้งเม้งก็งต้องถือร่มคันหนึ่งเวลาไปสู่ขอหญิงในพิธีการต่งงาน

ร่มถือว่าเป็นสัญาลักษณ์ของการแต่งงานของคู่บ่าวสาวนับแต่การมาตัดสินคดีของเจ้าฟ้าแดนมังกร( แปลเป็นไทยเองนะ น่าจะเป็นนัยๆนี้)หรือเราเรียกกันในภาษาม้งว่าZaj Zeg Zaj Lag เขาผู้นี้เป็นผู้ที่ปกครองและดูแลทุกข์สุขของผู้คนตามความเชื่อของม้ง ในเมื่อเกิดปัญหาการไม่เข้าใจของผู้คนจนร้อนถึงหูของเจ้าองค์นี้ ครั้งหนึ่งที่ท่านจึงได้ถูกเชิญมาเพื่อทำการตัดสินคดีให้กับสาวม้งคนหนึ่งที่หนีออกจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน จึงต้องไปเชิญZaj Zeg Zaj Lag ขณะที่ท่านผู้รู้ผู้นี้เดินทางมาเพื่อตัดสินและรับฟังคำชี้แจงเรื่องการหนีให้กับผู้คนนั้น ท่าอยอยู่ทางบ้านของชาวบ้านผู้หนึ่ง ท่านจึงหยิบติดมามือมาด้วย เมือ่ท่านดูเหมือนจะรู้เรื่องราวทุกข์สุขของผู้คนไปหมด มาถึงก็ขี้แจงเลยว่าหญิงสาวผู้นี้ควรแก่วัยในการแต่งงงานแล้ว เค้าจึงได้ไปออกไปแต่งงานกับคนที่เขารักแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อถึงเวลาเราก็ควรปล่อยให้เขาไปสร้างครอบครัวของเขาต่อไป

นับจากนั้นมาเพื่อเป็นการไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกันอีก ม้งเราเวลามีพิธีแต่งงานกัน จึงต้องมีคนหนึ่งที่ถือร่มมาด้วย ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับเจ้าฟ้าแดนมังกรที่มาชี้แจงเรื่องราวของการแต่งงานขแงหญิงสาวให้พ่อแม่ของหญิงนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่าหายไปไหน
อย่าสับสนกับฝนตกแดดร้อนนะ ม้งจีงมีร่มคันนี้มาเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งงานนะจ้า ฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านเห็นคนๆหนึ่งถือร่มมาพร้อมกับขบวนการแต่งตัวสวยๆเป็นกลุ่ม พึ่งคิดเลยว่าต้องมีพิธีการแต่งงานเกิดขึ้นในหมู่บ้านของท่าน เราจะรู้ทันที่ว่าต้องมีงานแต่งงานแน่ที่ไหนสักแห่ง... สงสัยบ้านฉันหรือเปล่าเน้อ?

๓.ฝิ่นกับม้ง

poppy หรือฝิ่นได้ถูกนำเข้ามาในจีนโดยชาวอาหรับเมื่อนทศตวรรษที่๘ และต่อมาเพราะม้งถูกจีนแบ่งพรรคแบ่งพวกให้ไปอยู่บนเขา้ ได้รับอิทธิพลการปลูกของอาหรับและคนจีนในสมัยนั้นมาก่อน คือมีการทำปลูก ขายกันอย่างกว้างขว้าง ฝิ่นเป็นเหมือนเงินตราที่ใช้แลกซื้อกันและกันในยุคสมันนั้น
ต่อมาทศตวรรษที่๑๘ บริษัทEast Indian company ของอังกฤษที่มาแสวงหาผลประโยชน์ อังกฤษนำมาซึ่งการปลูกฝิ่นในจีน ภายหลังก็ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษร่วมกันรับซื้อฝิ่นการอย่างไม่ผิดกฏหมาย อีกทั้งไทยที่เพิ่งหยุดการซื้อขายฝิ่นอย่างไม่ผิดกฎหมาย(เมื่อหลังสงครามเวียดนามเองที่มีการประกาศการซื้อขายฝิ่นอย่างผิดกฎหมาย )ม้งเนื่องจากซ่อนตัวเอาชีวิตอยู่บนที่สูงมาโดยตลอดนับจากจากสงครามจีน เมื่อฝิ่นไดู้นำมาเสนอให้ม้ง ม้งบ้านอยู่เขาจึงต้องปลูกตามภูเขา สุดท้ายทำให้ม้งค้นพบว่า ฝิ่นปลูกได้ดีในพื้นที่สูง คนอังกฤษฝรั่งเศลจึงชอบฝิ่นม้งมากกว่าฝิ่นจีนที่ปลูกตามที่ราบ แค่ทฤษฎีนี้เองแหละที่ม้งค้นพบ ปลายพู่กันของจีนก็ปัดหางในประวัติศาสตร์จีนเลยว่า ม้งเราปลูก เสพ ค้าฝิ่น แต่จริงๆแล้วอย่างที่กล่าวออกไปข้างต้นว่า ตอนนี้ทุกที่ทุกกลุ่มชนในจีนและนอกประเทศล้วนปลูกกันเป็นพืชเศรษฐกิจ ยอมรับว่าฝิ่นเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตอนนี้เขาคนอื่นเลิก มีกม.ออกมาห้ามแล้ว เราต้องก็เลิกแล้วอ่ะนะ มีบ้างที่ปลูกไว้ชมเชยความงามของดกอฝิ่นตามสถานที่ท่องเที่ยวของม้ง ดูเหมือนฉันไม่ค่อยชอบเลยที่ปลูกอย่างนั้น เราผ่านมาแล้วตั้งกี่รุ่นแล้ว แต่ว่าทำไมชื่อนี้ยังโด่งดังจนมีผลต่อม้งปัจจุบัน??????

๔.ทำไม่ม้งถึงถูกเรียกว่า แม้ว?

คำถามนี้มาถามเยอะ ข้าพเจ้าก็ถามตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
สุดท้ายก็ได้คำตอบมาว่า "อันนี้ต้องกล้าที่จะถามคนเรียกนะ!!!"

ยังมีเรื่องราวของม้งที่น่าเรียนรู้อีกมากมายนะที่ม้งๆและไทยๆอย่างเราไม่รู้จักม้งกัน
ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นเด็กสาวม้งคนหนึ่งก็อยากจะเสนอเรื่องราวที่ถูกต้องของม้งให้ท่านได้เข้าใจเราอย่างแท้จริง
นับว่าในส่วนของข้อมูลที่เป็นภาษาไทยยังไม่มีให้เห็นเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกต้องของม้งมากนัก ข้าพเจ้าจึงอยากแนะนำให้ท่านศึกษาค้นคว้าในวงการที่นอกเหนือไปจากภาษาไทยด้วย

สำหรับเรื่องราวต่างๆที่เสนอไปนั้นก็ได้ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าโดยส่วนใหญ่จากงานเขียนของผู้ี่ค้นคว้าเรื่องม้งทั้งผู้รู้ม้งและผู้รู้ฝรั่ง หากมีโอกาสข้าพเจ้้าจะนำท่านมารู้จักกับเรามากขึ้นกว่านี้ ยังมีอีกมากมายเลย เช่น

เหตุผลด้วยอะไรทำไมหญิงถึงต้องมาอยู่บ้านของชายเวลาแต่งงาน? ทำไมหญิงที่แต่งงานแล้วทำไมถึงยังใช้นามสกุลของฝ่ายพ่อ-แม่ผู้ให้กำเนิด? แล้วเมือ่ไหร่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฝ่ายชายเสียที?

ทำไมม้งถึงคิดว่าทำไมการไม่แต่งงานถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อวงศ์ตระกูล?

ทำไมม้งถึงคิดว่าหากหญิงม้งเสียชีวิตหมด ชาติพันธุ์ม้งจะไม่วันหาย แต่หากชายม้งตายหมด ชาติพันธุ์ม้งหายแน่

ทำไมเด็กม้งเพิ่งกำเนิดต้องใส่หมวก โดยเฉพาะหมวกที่มีสีสันลายต่างๆประดับอย่างสวยงาม

และสุดท้ายข้าพเจ้าอยากให้ท่านช่วยหันไปคิดหน่อยคือ....ทำไมหญิงม้งโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นคนเงียบ โดยเฉาพะเมือ่แต่งงาน ไปเป็นภรรยาคนอื่น ทั้งๆที่เจ็บปวด ควรจะพูดจะโต้กับสามี แต่กลับเงียบเฉยๆ ต่างกับผู้ชายที่มีอิสระเสรีที่จะพูดเสมอ....ทำไมเล่า

ฯลฯ ไม่นานเกินรอ เดี่ยวเรามาดูกันวันหลังที่เราสอบสร็จนะคะ

ขอบคุณมากนะคะ มีความสุขและมีความทุกข์นะ ชีวิตจะได้มีเท่าๆกัน

Being Hmong and love Hmong Always.

ปีใหม่ม้งนะวันนี้ Hmong NEw Year Eve!

ม้งและฮิบรูสองกลุ่มคนที่คงทนที่สุด

ม้งและฮิบรูสองกลุ่มคนที่คงทนที่สุด


....โลกนี้มีเพียงชาวฮิบรูุและม้งเท่านั้นที่ถูกรุกรานแล้วรุกรานอีกมากี่ชั่วโคตรแล้วยังสามารถหนีเอาตัวรอดได้มาจนถึงทุกวันนี้....จึงได้ขานนามว่า...

"ม้งเป็นกลุ่มหนึ่งที่ตายยากที่สุดในโลกเหมือนชาวฮิบบรู" โดยความคิดของท่านนักมนุษยวิทยาชาวออสแตรเลียชื่อ Kurtis

ท่านเห็นด้วยหรือเปล่าเอ่ย?

เรื่องเล่าเรื่องข้าว
ลองอ่านๆดูนะ ตำนานเรื่องนี้มีเรื่องราวเหมือนตำนานของม้งที่ว่า.ทำไมข้าว ข้าวโพดถึงไม่มมาบ้านเองเมือนมันสุกเหมือนแต่ก่อน ทำไมเราตอนนี้เราถึงต้องไปเก็บเกี่ยวมา แทนที่จะให้มันมาเอง" น่าสนใจมากเลยทีเดียวว่าทำไมถึงมีเรื่องเล่าที่เหมือนกันอย่างนี้ ก็คงไม่ต่างจากเรื่องเล่าเรื่องน้ำท่น้ำท่วมโลกในทุกชาติภาษา ก็เพราะน้ำท่วมโลกไงหล่ะ ถึงมีเรื่องราวก็ไปทั่วที่คล้ายๆกัน..ถ้าท่วมที่ใดที่หนึ่งเท่านั้นคงไม่ใช่น้ำท่วมโลกล่ะซิ

สำหรับคนที่อ่านไม่เข้าใจก็รอก่อนนะ เดี่ยวเราค่อยมาดูกันอีกทีวันหลังนะคะ วันนี้ภาคอังกฤษไปก่อนนะคะ


"The Legend of the Rice"





In the days when the earth was young and all things were better than they now are, when men and women were stronger and of greater beauty, and the fruit of the trees was larger and sweeter than that which we now eat, rice, the food of the people, was of larger grain.



One grain was all a man could eat; and in those early days, such, too, was the merit of the people, they never had to toil gathering the rice, for, when ripe, it fell from the stalks and rolled into the villages, even unto the granaries. And upon a year when the rice was larger and more plentiful than ever before, a widow said to her daughter "Our granaries are too small. We will pull them down and build larger."



When the old granaries were pulled down and the new one not yet ready for use, the rice was ripe in the fields. Great haste was made, but the rice came rolling in where the work was going on, and the widow, angered, struck a grain and cried, "Could you not wait in the fields until we were ready? You should not bother us now when you are not wanted."



The rice broke into thousands of pieces and said "From this time forth, we will wait in the fields until we are wanted," and from that time the rice has been of small grain, and the people of the earth must gather it into the granary from the fields.

http://hinduism.about.com/library/weekly/extra/bl-talesfromancientindia3.htm



From: Eva March Tappan, ed., The World's Story: A History of the World in Story, Song and Art, (Boston: Houghton Mifflin, 1914), Vol. II: India, Persia, Mesopotamia, and Palestine, pp. 67-79.



นิทานของอินเดียเรื่องนี้เหมือนของม้งนะ...ว่าไหมล่ะ...เคยได้ยินแม่เล่าฟัง...

“ข้อเสีย ปัญหาของม้ง แนวทางการแก้ไข”ของเรา


“ข้อเสีย ปัญหาของม้ง แนวทางการแก้ไข”
การมีปัญหาไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร สิ่งไม่ดีนำมาซึ่งปัญหา ส่วนปัญหามักนำไปสู่การแก้ไข ฟื้นฟู ปรับปรุงสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น หรืออาจหมายถึงการลบสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมออก แล้วเพิ่มเติม เปลี่นแปลงสิ่งนั้นๆให้ดียิ่งๆขึ้น ฉะนั้นการมีปัญหาเป็นเรื่องที่ปกติ คิดพร้อมๆตามหัวข้อมีคำหนึ่งที่มีขอบเขตกว้างมาก “ม้ง” หากยิ่งดูม้งกว้างขวางเท่าไร ยิ่งเห็นปัญหามากเท่านั้น อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าขอรวบรวมม้งทุกกลุ่มให้เป็นกลุ่มเดียวกัน ความดีที่เกิดขึ้นจากม้งกลุ่มใดก็ตามถือเป็นแรงใจให้กับม้งทุกคน ในขณะเดียวกัน ปัญหาที่ม้งสร้างเองหรือคนชาติพันธุ์อื่นมอบพิเศษให้ ก็ขอถือว่าเป็นความรับผิดชอบของม้งเราทุกคน ฉะนั้นข้อเสียของม้งและปัญหาต่างๆของม้งที่ข้าพเจ้ามองเห็นในวันนี้ ข้าพเจ้าจะหมายถึงเป็นความรับผิดชอบของม้งทุกคน เราต้องรวมเป็นหนึ่งถึงจะเป็นหนึ่งได้
หากม้งไม่มีข้อเสีย ปัญหาม้งก็ไม่มี ข้อเสียหนึ่งๆก่อให้เกิดปัญหามากว่าหนึ่ง แต่ละปัญหาก่อให้เกิดข้อเสียย่อยๆตามอีกมากมาย ตระหนักเช่นนี้แล้ว พึงระลึกว่าม้งเรามีข้อเสียอยู่หลายประการ หากไม่ได้รับการแก้ไขย่อมเป็นไปตามวัฏจักรที่กล่าวมา การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับม้งนั้นยากเกินไปที่จะใช้เฉพาะเสียงและปลายปากกามาควบคุม เราต้องมีการตามด้วยการการกระทำด้วย ปัญหาที่ข้าพเจ้ามองเห็นมีมากมาย ซึ่งมาจากข้อเสีย เดียวคือ ม้งไม่รู้ม้ง ข้อเสียนี้ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือคนอื่นๆไม่รู้ม้งด้วย ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในทุกมุมโลก เช่นปัญหาความยากจน หรือความขัดแย้งทางการเมือง ข้าพเจ้าจะไม่ไปดูถึงจุดนี้มากเท่ากับความไม่รู้ม้งของม้งและคนอื่นที่ไม่รู้ม้งที่นำมาด้วยปัญหาต่างๆที่จะกล่าวต่อไปนี้
ปัญหาข้อมูลพื้นฐานของม้งที่ขาดความชัดเจนและเหตุผลในตำราไทย ข้อมูลที่ผ่านตามาล้วนเริ่มต้นที่แตกกันอยู่สองแบบคือ ม้ง แล้วมีคำหนึ่งในวงเล็บว่า แม้ว อีกแบบหนึ่งก็ตรงกันข้ามกับแแบบแรก พอย้ายสายตามาอีกนิดก็จะพบอีกว่า ม้งเป็นชนเผ่าหนึ่งที่เร่รอนอาศัยอยู่ตามที่สูง ทำไร่เลื่อนลอย มีอาชีพหลักคือปลูกฝิ่น มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง แต่หามีประเทศเป็นของตัวเองไม่ ต่อสู้กับคนจีนและ คนลาวเพื่อแย้งชิงประเทศ เพราะการพ่ายแพ้เลยกระจัดกระจายมาอยู่ทั่วโลกเหมือนทุกวันนี้ ฯลฯ ข้อมูลนี้ก็มีส่วนถูกอยู่ แต่ขาดหายเหตุผลและข้อเท็จจริงบางอย่างไป เช่น ม้งทำการเพาะปลูกในพื้นที่ถาวร ปลูกข้าวปลูกข้าวโพด มีศาสตร์ความรู้ของการปลูกพืชตามฤดู นำผลผลิตเหล่านี้ไปแลกเกลือและปลาจากจีน (ม้งไม่สามรถผลิตเกลือได้ อาหารม้งจริงๆแล้วจึงมีรสจืด) หรือม้งต้องอยู่ทำมาหากินตามภูเขาจากเขานี้ไปอีกเขาเพราะม้งถูกรุกราน หามีนิสัยรักการย้ายถิ่นไม่...ใครบ้างเล่าจะไม่หนีเพื่อชีวิตรอด ม้งมีหลายกลุ่มได้เพราะม้งถูกจีนแบ่งแยก เพื่อให้แตกความสามัคคีในหมู่ ยากที่จะรวมตัวเป็นหนึ่งต่อสู้กับจีนได้ ม้งปลูกฝิ่นมาตั้งนานเพราะอะไรเดียวเรามาดูตรงปัญหายาเสพติดกัน ตอนนี้ข้าพเจ้าอยากถามว่าข้อมูลเหล่านี้หายไปอยู่ไหนเล่า ใยใดตำราไทยหรือม้งหามีไม่? (คำตอบคือ เพราะม้งเราไม่เขียนเอง) หากข้าพเจ้ารู้เพียงภาษาเดียว ชาตินี้คงขาดทุนเป็นแน่ที่ไม่รู้รากเหง้าที่แท้จริงของตัวเอง ลองคิดดูหากม้งไทยและคนไทยอยากรู้ประวัติม้ง เขาก็คงศึกษาจากตำราที่คล้ายคลึงกัน ประวัติศาสร์ไทย คนไทยเป็นคนเขียน ประวัติจีนคนจีนปัดหางพู่กันเอง ประวัติเราต้องให้คนอื่นช่วยเขียนก่อนหรือ? หากข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเรายังไม่เปลี่ยนให้สมบูรณ์ อย่างนี้ ม้งเรารุ่นแล้วรุ่นเล่าต้องถูกคนอื่นๆมองในภาพแคบๆนั้นเสมอ ข้าพเจ้าต้องขอยกย่องผู้ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับประวัติม้ง วิถีชีวิตม้ง ประเพณีวัฒนธรรมม้ง และความเชื่อของม้ง ทั้งคนที่เป็นม้งและไม่เป็นม้งที่ช่วยกันศึกษารวบรวมข้อมูลที่แท้จริง ข้อมูลเก่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการอ้างอิงจากหลักฐานการบันทึกของจีนเท่านั้น จีนและม้งเป็นศัตรูกันสมัยก่อน เหตุใดเล่าจีนจะเขียนสิ่งดีๆของม้งไว้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอแนะนำแนวแก้ปัญหาม้งไม่รู้ม้งโดยการใคร่ขอแนะนำให้ท่านศึกษาดูจากข้อมูลที่หลากหลาย แล้ววิเคาระห์ไปพร้อมๆจากตำนาน นิทาน ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม องค์ความรู้ และวิถีชีวิตม้ง เหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นหนังสืออันสำคัญของม้ง หลังการศึกษาแล้วข้าพเจ้าคิดว่าความรักที่จะสงวนสิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นในใจท่านเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นแล้วในใจของข้าพเจ้าแล้ว จากนั้นขอให้เราช่วยกันแปลออกมาเป็นตำราให้ลูกหลานเราและผู้สนใจได้ศึกษาต่อไป ข้าพเจ้าเชื่อว่าม้งอเมริกัน ออสแตรเลียน หรือจีนคงไม่ต้องการม้งสักคนแปลข้อมูลพื้นฐานของม้งแล้ว แต่สำหรับภาษาไทย ลาว พม่า และเวียดนามเรายังต้องการคนเริ่มต้น เพราะคนของเราที่อาศัยอยู่ในประเทศเหล่านี้และคนกลุ่มต่างๆในประเทศยังไม่รู้จักม้งจริงๆเลย เราต้องศึกษาตัวเราเองให้ดีก่อน ก่อนที่จะเปิดทัวร์เข้าหมู่บ้านให้คนอื่นมาศึกษาเรา ทั้งนี้ทั้งนั้นความหวังของข้าพเจ้าก็ขอฝากไว้กับมัคคุเทศน์ม้งทั้งน้อยใหญ่ ท่านต้องมีความรู้เรื่องม้ง อย่างดีและถูกต้องก่อน แล้วความสำเร็จก็จะไม่นำมาซึ่งเงินอย่างเดียว
ปัญหาม้งกับยาเสพติด ม้งถูกมองในด้าลบมาตลอดเพราะเราไม่รู้เราและเขาไม่รู้เราอีกแล้ว พ่อแม่ของเราแต่ก่อนไม่ตายง่ายๆ แม้ได้ถูกไล่ไปอยู่บนเขาแห้งแล้ง แทนที่จะได้ปลูกข้าวในนา กลับต้องปลูกบนเขา การแบกข้าวและผ้ากัญชงหนักๆข้ามเขาข้ามวันคืนเพื่อแลกเกลือและปลาจากจีน ต่อมาชาวอาหรับได้นำฝิ่นมาในจีน ทั้งจีน ม้ง และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆปลูกกัน แต่ด้วยการถูกไล่ให้อยู่ตามเขานี่เอง เลยต้องปลูกฝิ่นตามเขา เลยบังเอิญว่าม้งค้นพบองค์ความรู้ใหม่“ฝิ่นปลูกได้ดีบนพื้นที่สูง”แค่นี้แหละหนังสือประวัติศาตร์ยกย่องว่าม้งปลูก เสพ ค้าฝิ่น ทั้งๆที่เราทำโดยได้รับการสนับสนุนจากจีน อังกฤษ ฝรั่งเศล และไทยในภายหลังต่อมาที่เราเข้ามาอยู่ในประเทศไทย อย่าลืมว่าสมัยก่อนฝิ่นมีหน้าที่เหมือนเงิน ผู้คนปลูกกัน ทำกัน ยอมรับกัน แต่ทำไมกลิ่นไอของฝิ่นติดอยู่กับชื่อม้งเพียงชื่อเดียวจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าแค่คำว่า “ฝิ่นกับม้ง”ที่อ่านเจอในหนังสือก็ย้ำเตือนวิถีชีวิตเราได้ดีพอแล้ว ยิ่งมาเจอสวนฝิ่นสวยๆในหมู่บ้านที่ให้อาหารตาและอาหารสมองนักท่องเที่ยว รวมทั้งสถาณการณ์ยาเสพติดกับม้งในปัจจุบันอีก มันยิ่งเป็นการซ้ำเติมประวัติให้ถูกจำได้ดีขึ้น สำหรับปัญหานี้ข้าพเจ้าเองไม่มีแนวทางการแก้ไข หากมีเจตนาปลูกฝิ่นเพื่อการศึกษาจริงๆ ก็มีวิธีอื่น สวนพฤษศาสตร์แม้มีดอกไม้นับพันแต่หามีฝิ่นไว้ศึกษาไม่...เหตุใดเล่าเจ้าถึงนำมาเป็นของคู่ม้ง ? สำหรับปัญหายาเสพติดนั้น ข้าพเจ้าไม่มีแนวทางที่ดีกว่าการแก้ไขของรัฐบาลทุกวันนี้ การแก้ไขเรื่องนี้ไม่ใช่ต้องแก้ไขที่จิตสำนึกของความเป็นม้ง แต่ต้องแก้ไขที่ความเป็นคน ส่วนข้อมูลที่ได้รับการตีพิมพ์ไปลอยๆตามสื่อต่างๆเหล่านั้น เราสามารถแก้ไขในส่วนนี้ได้ไม่ยาก คือ เราม้งเองต้องรู้จักตัวเราเองก่อน แล้วค่อยกระจายต่อๆกันในรูปแบบของงานเขียน อย่างน้อยข้าพเจ้ามั่นใจว่า ม้งเราก็จะถูกมองว่าเราเป็นผู้ทำลายป่าที่สมเกียรติขึ้น คือ “เพราะไม่มีใครเป็นที่พึ่งเราได้ นอกจากผื้นป่าเขียวขจีมืดมิดเท่านั้นที่ค่อยปกปิด รักษาพวกเราไว้ให้ปลอดภัยจากความโหดร้ายสงครามกับจีน หรือ เราไม่ใช่คนป่าแต่อยู่ในป่า ย้ายจากที่ไปที่เพราะสงครามจีน ลาว เวียดนาม” มีหลักฐานชัดเจนยืนยันอยู่แล้วว่าเราไม่ใช่เร่ร่อน คือ องค์ความรู้ในการปลูกพืชต่างๆ อุปกรณ์ทำมาหากิน ผ้าปักลายสวยๆที่บันทึกเรื่อราวต่างๆ (เสียดายทุกวันนี้ม้งเราอ่านไม่ออกแล้ว) การมีสิ่งเหล่านี้มาแต่ดั้งเดิมแล้ว นักมนุษยวิทยาจึงกล่าวว่าม้งเป็นเกษตกรดั้งเดิมของโลก รู้อย่างนี้ท่านยังจะรับไหวไหมหากเขาเรียกท่านว่า “คนเร่ร่อน”ท่านพร้อมใจกับข้าพเจ้าหรือยังที่จะลุกขึ้นแล้วอธิบายให้เขารับรู้เกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกต้องของเรา
ปัญหาอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดจากเราไม่รู้เราคือ ปัญหาทางจารีต บรรทัดฐาน วัฒนธรรม และประเพณี ข้าพเจ้ารู้สึกว่าม้งเราวันนี้ไม่มีปัญหาอะไรกับสิ่งเหล่านี้ การแต่งงานโดยการฉุดไม่ได้มีผลเสียอะไร การจัดงานปีใหม่ไม่ตรงวันเวลาก็ไม่ใช่ปัญหา การสวมหมวกอาข่า เสื้อกางเกงและคนเป็นม้ง อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา เพราะเรายอมรับและปฏิบัติทั่วกัน แต่ในมุมมองข้าพเจ้าเห็นว่าทั้งหมดเป็นปัญหา แต่เป็นปัญหาเดียว คือ ทำไมเราถึงลืมมรดกที่ดีงามของเราได้ลงคอ มือแข็งแรงของท่านสร้างไว้ดี แต่ทำไมเราเก็บรักษาไว้ไม่ได้? ประเพณีการแต่งงานดั้งเดิม ชายไปสู่ขอหญิง ฝ่ายชายแม้บ้านอยู่ฝ่ายหญิงเพียงไรก็ต้องหาร่มสักอันเพื่อเป็นสัญญาลักษณ์ของการแต่งงาน มีข้าวสักห่อไว้ทานกลางทางเพื่อรับพรจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่เบื้องบน ไปถึงบ้านฝ่ายหญิง พิธีการขอบคุณ ขอพร ให้พร และชี้นำสองผู้น้อยให้รู้จักการดำเนินชีวิตร่วมกันเริ่มขึ้นโดยเหล้าไม่มีดื่มให้เมา และเสียงเอะอะโวยวายไม่มีเข้าหู เสียงปลื้มปิติยินดีอาจคลอด้วยน้ำตาของผู้เป็นแม่และลูกเท่านั้นที่เป็นเสียงบรรเลงเพลงการจากกันเสมือนฉากหลังในวันสมรส เสร็จพิธีในบ้าน แม่ฝ่ายหญิงมีข้าวห่อหนึ่งให้ฝ่ายหญิงในขากลับเพื่อไปขอรับพรจากผู้เป็นพ่อเป็นแม่เบื้องบนเป็นครั้งสุดท้ายและขอบคุณท่านที่ให้คู่ชีวิต ก่อนเข้าบ้าน หญิงต้องได้รับการเรียกขวัญถึงจะเข้าบ้าน หญิงเข้าบ้าน เราพาไปนั่งในห้องครัวพูดคุยทำความรู้จักกับญาติพี่น้องใหม่ การนั่งในห้องครัวเป็นเครื่องบ่งบอกถึงการเริ่มต้นที่ดีของชีวิตคู่ ห้องครัวจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นร่วมงานที่ดี เราพาเขามาเพื่อช่วยเราทำมาหากิน แต่ทุกวันนี้ ฉุดเข้าบ้าน เข้าห้องนอน! ข้าพเจ้าไม่โทษให้ใคร เพราะไม่ใช่ความผิดของเราตั้งแต่ต้น ขอยกควมผิดนี้ให้กับสงคราม การแพ้สงครามทำให้เราต้องย้ายถิ่นเพราะถูกรุกราน การหนีสงครามบนเส้นทางอันแสนไกลจึงทำให้เราต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์ การต่อสู้ดิ้นรนย่อมมีแต่ความไม่ปลอดภัยในทรัพย์สินและชีวิต ใครเล่าจะมีใจมีเวลามาเกี๊ยวพาราณสี และมาสู่ขอกัน ฉุดเท่านั้นที่ทันใจ! แม้ม้งเรารู้ดีว่าผลผลิตที่ได้ย่อมไม่งามตา แต่กลายมาเป็นประเพณีการแต่งงานของม้งในอีกรูปแบบหนึ่งจนได้ ข้าพเจ้าไม่สามารถสร้างหรือแก้ไขรูปแบบการแต่งงานที่ดีกว่าทั้ง ๒ วิธีที่เรามีอยู่ได้ ปัจจุบันเราก็ไม่ต้องอยู่ในสงครามแล้ว จึงอยากจะพูดกับใจท่านสักครู่ว่า “การแต่งงานเป็นตายของสองจิต แล้วเกิดใหม่เป็นจิตเดียวกัน หากเพียงแค่ก้าวแรกคุณทั้งสองยังไม่สามารถก้าวพร้อมกันเพื่อไปขอบคุณและรับพรจากผู้มีพระคุณได้ ก้าวที่สองและก้าวต่อๆไปคุณจะเดินด้วยกันได้ดีหรือ? การเริ่มต้นที่ดีในก้าวแรก เป็นหลักประกันความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง”
อีกปัญหาหนึ่งที่เราแถบไม่รู้จักตัวเรา คือ เราไม่รู้ว่าเรานับถือศาสนาอะไร ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไรในการที่ม้งเราส่วนหนึ่งหันไปนับถือศาสนาคริสต์กัน ข้าพเจ้าไม่เห็นมีความเสียหายอะไรด้วยที่ม้งนับถืออะไรที่บรรพบุรุษของเรานับถือกัน เป็นศาสานาที่ไม่มีชื่อในภาษาอื่น แต่ข้าพเจ้ารักที่จะเรียกว่า “ศาสนาม้ง”มากกว่าศาสนาผี “ศาสนาที่ดีจะไม่มีวันตาย” ข้าพเจ้าไม่กลัวหรอกว่าหากม้งหันไปนับถือศาสนาคริสต์กันมากขึ้นๆ แล้วศาสนาม้งจะหาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากความเชื่อนั้นๆยังให้ผลดีอยู่ อย่างน้อยยังมีม้งผู้ได้รับผลดีที่ยังคงเก็บมรดกทางพิธีกรรมของม้งได้ไว้อยู่ จึงไม่มีวันหายสาบสูญ แต่เราคนม้งรุ่นหลังควรที่จะศึกษาเหล่านี้ไว้เพื่อเหลาปัญญา จริงๆแล้วมีปรัชญาต่างๆอยู่เบื้องหลังพิธีกรรม ความเชื่อ จารีต ประเพณีของม้งอยู่ไม่น้อย ตัวอย่างเช่น ความคล้ายคลึงกับหลักปรัชญาของเล่าจื้อ คือสิ่งสองสิ่งต้องร่วมอยู่ด้วยกันเพื่อเกิดความสมดุลถึงจะดำเนินไปด้วยกันอย่างราบรื่นได้ ในขณะเดียวกันม้งเชื่อว่าการแต่งงานถือเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะเป็นการรวมกันของหญิง (หยิน) และชาย(หย่าง)เข้าด้วยกัน เหตุนี้ครั้นเมื่อสามีหรือภรรยาคนใดคนหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย เราจึงมีพิธีอัวเน้งให้กับทั้งสองคน หรือเมื่อสองสามีภรรยาเสียชีวิต เราเชื่อว่าจิตของเขาทั้งสองจะไปรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วกลับมาจุติเป็นลูกของลูกหลานของวงศ์ตระกูลต่อไป เหตุใดภรรยาม้งโดยธรรมชาติแล้วไม่พูดจา แม้จะเจ็บปวดเพียงไร ต่างกับชายที่มีความอิสระเสรี แต่อยู่ด้วยกันได้จนเหมือนเป็นธรรมชาติไปเสียแล้ว เรื่องราวอย่างนี้หากเราศึกษาแล้ว จะทำให้เราเข้าใจสังคมม้งเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้เรานับถือศาสานาม้งโดยปราศจากความเข้าใจ หากเราเข้าใจแก่นแท้ของความเชื่อม้งนี้แล้ว ความรู้สึกที่ว่างมงายจะถูกล้างไปด้วยคำอธิบายที่มีเหตุผล เวลากรอกข้อมูลอะไร เราก็ไม่ต้องไปยืมคำว่า “พุทธ” มาเป็นศาสนาของเราในบัตรประจำตัวประชาชน ส่วนความขัดแย้งเกี่ยวกับความข้อมูลทางศาสนาคริสต์และศาสนาม้งที่มีให้เห็นกันบ่อยครั้ง ข้าพเจ้าขอเสนอการแก้ไขความขัดแย้งนี้โดยการมาศึกษาศาสนาทั้งสองให้ดีมาก่อนการเอามาพูด แล้วเราก็จะไม่มีเสียงโต้ตอบตามกระทู้อีกต่อไป
ปัญหาการขาดโอกาสทางการศึกษาและการขาดการเรียนรู้ม้งศึกษา การขาดโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลจัดให้ ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ปัญหานี้ถ้าแก้ได้หายขาด ก็คงไม่มีให้เราหาวิธีแก้จนถึงทุกวันนี้ สำหรับเด็กม้งเรา นับว่ายังมีบางส่วนที่ขาดการศึกษาเพราะความไม่แข็งแรงของครอบครัว เพราะตัวผู้เรียนเอง และเพราะการไม่มีโอกาสจริงๆ เช่น เด็กน้อยตามศูนย์ลี้ภัยที่ต้องไปโรงเรียนแต่ไม่มีโรงเรียนให้ไป ฝันของพวกเขาคงไม่ไกลนัก แต่ข้าพเจ้าไม่มีวิธีใดที่จะช่วยพวกเขาได้เลย คงต้องถือเป็นความช่วยเหลือที่มาจากภาครัฐ ส่วนปัญหาการขาดการเรียนรู้ม้งศึกษา เราไม่ได้ศึกษามรดกทางด้านต่างๆของเรา ตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นการอนุรักษ์ จึงขอสนับสนุนให้ม้งเห็นถึงคุณค่านี้ด้วย ณ วันนี้เราภูมิใจที่มีหนังสือม้ง เวปไซต์ม้ง คลื่นกระจายเสียงผ่านทางวิทยุ ภาพยนตร์และเพลงในรูปแบบซีดีและดีวีดี และหนังสือพิมพ์ที่ผลิตสื่อเกี่ยวกับม้งมาให้เราได้อ่าน แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่ครอบคลุมถึงม้งทั่วทุกพื้นที่ในโลก หรือแม้แต่ในจังหวัดจังหวัดหนึ่ง คิดเล่นๆว่าหากม้งมีสำนักงานวิชาการม้งตามความฝันของม้งผู้นามแฝงว่า Haiv Hmoob มาเก็บความรู้ทุกอย่างของม้งไว้ในที่เดียวกันก็คงจะดีมาก ฉะนั้นคงถึงเวลาสำหรับม้งผู้รู้เรื่องม้งในด้านต่างแล้วที่จะต้องมารวมตัวกัน ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากสถานที่แห่งนี้มีจริง นอกจากจากเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับม้งแล้ว ยังคงเป็นที่ที่สามารถช่วยม้งให้มีโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มากขึ้นด้วย ทุกวันนี้เพราะเราไม่มีสิ่งนี้เป็นของกลาง เราจึงไม่ได้ข้อมูลของเรา เราได้ข้อมูลของสังคมที่เราอยู่มากกว่า ฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ม้งส่วนใหญ่มีการศึกษาในเรื่องของวิชาการคนอื่น แต่ขาดการศึกษาวิชาเรา แล้วนำมาซึ่งความไม่รู้จักแก้ปัญหาของตัวเราเอง
ปัญหาความเป็นม้งมีให้เห็นมากกว่าเดิม ปัญหานี้ทั้งคนอื่นและม้งช่วยกันทำให้ม้งดู ม้งพูดไม่ชัดตามเพลงในโทรทัศน์ ผ้าม้ง ลายผ้าม้งห้อยตามร้านต่างทั้งในและนอกประเทศ ภาพยนต์ไทยสร้างม้งประหลาดให้คนดู คลิปและภาพม้งเซกส์มีให้ดับความกระหายของตา ความก้าวหน้านี้ก็ทำให้เกิดความเสียหายต่อม้ง ผู้ผลิตสื่อประเภทนี้ไม่ได้คิดอะไรมากกับผู้มีนามว่าม้ง เพราะเงินแท้ๆที่เป็นทำลายความเป็นม้งดั้งเดิม ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหากินยาแล้วไม่หาย แต่หากมีมาตราการก็พอบรรเทาลงได้ ม้งที่พูดไทยชัด ก็ขอชื่นชมไป แต่คนที่พูดภาษาไทยไม่ชัด ขอบอกว่าเป็นความปกติ คนไทยพูดปภาษาอังกฤษไม่ชัด แต่คนฝรั่งเข้าใจ เป้าหมายของการสื่อสารโดยแท้จริงคือเพื่อการส่งสารและรับสารอย่างเข้าใจกันเท่านั้นเอง การสร้างหนังอะไรต่อมิอะไรให้คนอื่นเขาดู ลายผ้าต่างๆที่ถูกโอนสิขสิทธิ์เข้าร้านต่างๆ หากผู้มีใจรักคิดทำธุกิจ ก็ควรจดสิขสิทธิ์เป็นเจ้าของก่อนขายให้ผู้อื่น ตำรับยาสมุนไพรม้งที่ดีๆ ก็อย่าลืมสงวนเป็นของเราก่อนถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ผู้ชอบหยิบไปโดยมิชอบธรรม
ปัญหาหาการถูกละทิ้ง ม้งหลายพันคนขณะนี้อาศัยอยู่ในศูนย์ลี้ภัยทั้งเด็กผู้ใหญ่ เด็กมีหน้าที่ต้องเรียน แต่กลับต้องทำงานหรืออยู่เฉยๆ ผู้ใหญ่ต้องทำงานแต่กลับไม่มีที่ให้ทำกิน แล้วเราจะอยู่อย่างไร ณ ขณะนี้เรามีม้งอยู่สองกลุ่มคือ ม้งที่กำลังลำบากอยู่ทั้งจากการกระทำของตัวเองและผู้อื่น กลุ่มที่สองคือม้งที่มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะช่วยผู้อื่นได้ ข้าพเจ้าเองไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร ผู้ที่ลี้ภัยก็มี ผู้ที่หลบหนีเข้ามาก็มี ไทยไม่สามรถรับไว้ได้หมด แต่ขณะนี้ก็มีกลับสู่ถิ่นที่เขามาบ้างแล้ว ส่วนที่เหลือตอนนี้ในศูนย์อพยพดูเหมือนเขาอยากได้บ้านที่ปลอดภัย แต่ข้าพเจ้าหาวิธีช่วยไม่ได้ นอกจากส่งภาษาหนุนใจผ่านกระดาษนี้ไปถึงใจทุกคน
ปัญหาทั้งหมดนี้หากคาดหวังให้ภาคส่วนต่างๆเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาของเรา คิดว่าคงล่าช้าและแก้ปัญหาไม่ตรงประเด็น ใครจะแก้ปัญหาม้งดีกว่าม้ง รัฐยังคงมีข้อจำกัดจัดงบประมาณในการฟื้นฟู ส่งเสริม และแก้ไขปัญหาในประเทศ ขณะเดียวกันม้งเราเองอยู่กันคนละทิศ จึงไม่มีกำลังความสามารถที่เพียงพอจะยืนด้วยกำลังของตัวเองได้เสมอต้นเสมอปลาย ด้วยความจริงที่เป็นอยู่อย่างนี้ ปัญหาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ข้าพเจ้าไม่มีวิธีการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมอะไร มืดทุกครั้งที่คิดถึงปัญหาเหล่านี้ แม้มืดทุกทิศแต่คิดว่าการแก้ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้คือ การเข้าใจปัญหา หากเราเข้าใจตรงกันเมื่อไหร่แล้ว ม้งก็จะแปลว่าม้ง ม้งที่เป็นกลุ่มหนึ่งในกลุ่มเกษตรกรดั้งเดิมของโลก ม้งที่ไม่ใช่แม๋วแต่เป็นสมาชิกกลุ่มหนึ่งในแม๋ว และม้งจะไม่ใช้แม้วอีกต่อไป ขอบพระคุณมากที่ท่านได้ช่วยข้าพเจ้าแก้ปัญหาขั้นต้นด้วยการอ่านบทความนี้ แม้จะเยอะมากไปหน่อย แต่ถือเป็นวิธีแรกของข้าพเจ้าในการแก้ไขปัญหาของม้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ อย่างน้อยสิ่งต่างๆที่เขียนมาก็จะไปเกิดในความคิดของผู้พบเห็น จุดประกายให้เราเข้าใจกันและกัน ซึ่งนำไปสู่การแก้ใขปัญหาต่างๆที่เป็นรูปธรรมกันต่อไป ก่อนจากขอฝาก“หลักพัฒนาม้งปี๒oo๘: ศึกษาเขาศึกษาเรา เพื่อบรรเทา ลบคำผิด ปลูกจิตรัก ร่วมเป็นหนึ่ง”

โดย เราเรนไรเองจ้า

๒๕ ธันว่าคม ๒๕๕๑

กระทู้ความเห็นที่ชวนคิดจากคนอาข่าคนหนึ่ง

ด้านล่างนี้เป็นความคิดเห็นของผู้ตอบกระทู้ท่านหนึ่งที่ตอบมาในกระทู้ของฉันในหัวข้อ "ม้งคือแม๋ว?( Hmong and Miao)ทำไมถึงจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน??" ซึ่งได้ลงไว้ในเวปของพิพิทธพันธ์ชาวเขาออนไลท์ ดิฉันเห็นว่าชวนให้คิดอะน่ะคะ ก็เลยเอามาแบ่งปันให้อ่าน หากใครสามารถตอบคำถามเค้าได้ก็ช่วยๆกันตอบหน่อยนะคะ



ความคิดเห็นที่ 4

ขออนุญาตแลกเปลี่ยนนะครับ การขานชื่อผมมองแบบสองพวกนะ พวกแรกคือเรียกไรก็ได้ล้วนแต่เป็นนาม ที่คนใช้เรียกไม่แคร์ กับการขานชื่อที่เป็นอคติเชิงชาติพันธุ์ เช่น กดขี่ ดูถูก หรือทำให้กลายเป็นจำเลยสังคม หรือประมาณว่าถูกพิพากษาโดยไม่ได้ถูกตั้งข้อหา

ประเด็นของคนชนเผ่า ในห้วงหัวใจ และห้วงความคิด เราคิดแบบไหน หรือถูกปฏิบัติอย่างไร? นั้นคือ คำตอบของปฏิกิริยาโต้ตอบ? กาลครั้งหนึ่งคนที่ได้ชื่อว่าสยาม เคยตีชนะหลวงพระบาง หรือประเทศลาว ได้นำสัญลักษณ์ในเชิงความเชื่อมาย้ำยี นั้นคือดอกลั่นทม นำมาปลูกป่าช้า ดอกชนิดนี้อดีตคนลาวนับถือมาก ถือว่าเป็นดอกไม้คู่พระบารมีของเจ้าฟ้าเหนือหัว แต่เมื่อรบชนะก็ต้อนคน กับทำลายในเชิงสัญลักษณ์แทน ......กลายเป็นสั่นทม ซึ่งแปลว่าเสียใจ และหนักข้อตรงไปปลูกป่าช้า.
กาลครั้งหนึ่ง พม่า เคยตีชนะสยาม ได้มีการเผ่าโบสถ์ วิหาร พระพุทธรูป เอาทองไปสร้างพระธาติชะเวงดะกอง (อยู่ย่างกุ้ง อันที่อยู่ท่าขี้เหล็กคือจำลอง ) การเผ่าพระพุทธเพราะรบชนะสยาม สัญลักษณ์ในเชิงจิตวิญญาณจึงถูกทำลาย

ที่ผมมาเปรย เพราะอยากชี้ให้เห็นว่าจะเรียกแม้ว แม๋ว นั้นมันอันเดียวกับม้ง ซึ่งเป็นคำที่ขนานนามด้วยเจตนาหรือด้วยเหตุการณ์ใดก็ตาม แต่สรุปการเรียนแม๋ว แม้ว ได้รับการยอมรับจากม้งหรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร นั้นคือ ปฏิกิริยา.............ตรรกะของผมคือ หากไม่ได้รับการยอมรับ ต้องมีคำตอบต่อสังคมเพราะเหตุใด เช่นเดียวกับคำว่าอีก้อ เพราะเหตุใดต้องทำความเข้าใจกับสังคม นี่คือหน้าที่ของคนชนเผ่าทุกคน
กระบวนการแก้ไม่ได้อยู่ที่การไปด่าหรือไปแก้ข่าว เพราะตามไม่ทันหรอก แต่หากเรามั่นใจว่าเรารู้จริง หรือสามารถตอบคำถามได้ทั้งในรูปแบบใดก็ตาม นั้นคือจุดแข็งที่เราควรตอบต่อสังคม เอ็นจีโอซีกชนเผ่าทำงานมายาวนานหัดทบทวนเรื่องนี้บ้างจะดี บทสรุปการแก้อคติเชิงชาติพันธุ์ มันขึ้นอยู่กับคนชนเผ่า ที่ต้องสร้างองค์ความรู้ขึ้นมา เพื่อวัดกับองค์ความรู้เก่า นั้นคือทางออก และทางรอด

ขออนุญาตถามไรหน่อย คุณมีข้อมูลไหมว่าม้งเข้ามาครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อไร และตรงไหน ผมแปลกใจกับข้อมูลม้งนะ ที่คนเก่าแก่ดั้งเดิมมักอ้างถึง ๒ ที่ นั้นคือบ้านดอยช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย กับดอยอ่างข่าง จังหวัดเชียงใหม่ แต่เหตุใดม้งจึงไม่เหลือในพื้นที่เหล่านั้น และโยกย้ายด้วยเหตุผลใด นักวิชาการม้งตอบผมไม่ได้สักคนเลย

นี่ไม่ได้มาลองภูมินะ แต่อยากรู้ด้วยจิตวิญญาณของการเป็นนักมานุษยวิทยา ที่ใฝ่รู้ถึงความจริงหรือข้อเท็จจริงของม้ง




โดย : ป.อายิ เมื่อ วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา 21:04:47 น. ip 118.172.119.206,

----------------------------------------------------------------------------------


----------------------------------------------------------------------------------

ด้าล่างนี้เป็นส่วนที่ดิฉันตอบไปเองนะคะ....ใครมีความเห็นอะไรเพิ่มเติมก็อย่าลืมฝากมาด้วยนะจ้า

ความคิดเห็นที่ 5

ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ สำหรับการแลกเปลี่ยนความเห็นของท่าน
ดิฉันเห็นด้วยกับท่านด้วยเหมือนกันนะคะ ที่ว่ากราเรียกชื่อนั้นแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ความความชอบของแต่ละกลุ่มคนที่จะเรียกคนอีกกลุ่มว่าอย่างไร ก็คงไม่ต่างจากการที่คนคนหนึ่งถูกเรียกชื่อที่แตกต่างกันออกไป ้เพื่อนฝูงก็เรียกชื่อของคนๆนั้นอีกชื่อหนึ่ง พ่อแม่ของคนนี้เรียกอีกชื่อหนึ่ง เพื่อนร่วมชั้นเดียวกันยังเรียกชื่อคนคนเดียวชื่อไม่เหมือนกันเลย

ม้งเข้ามาครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อไรนั้น เราขออ้างอิง่ตามข้อมูลทั่วๆไปที่ได้มา คือช่วงต้นค.ศ. 1800s หรือประมาณช่วง พ.ศ.2300s ก็ถ้านับถึงวันนี้ก็ประมาณในช่วงสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา นั่นคือการเข้ามาของม้งที่มาจากจีนแล้วเข้ามาไทยโดยตรงครั้งแรก แต่นั่นก็เป็นความเห็นตามการกระบวนการคิดของดิฉันเอง และคิดว่าน่าจะเป็นไปอย่างนี้มากกว่าข้อที่จะว่าต่อไปนี้

ข้อมูลที่ปรากฎให้เห็นทั่วๆไปคือ ม้งมาจากจีน เข้ามาลาวก่อน แล้วค่อยแยกกันอยู่ในประเทศไทย ลาว พม่าต่อมา ..จะกล่าวไปก็คือ
หากตามนี้แล้วม้งในไทยเพิ่งเข้าไทยได้ไม่นานมาไม่นานเท่านั้นเอง ม้งส่วนหนึ่งในลาวหลังและก่อนจากสงครามเวียดนามเกิดขึ้น ช่วงปีค.ศ.๑๙๗๕ ม้งได้กระจายตัวเข้ามาในประเทศไทยในภายหลังเมื่อไม่กี่สามสิบปีที่ผ่านมาเอง การย้ายถิ่นของม้งมายังไทยต้องมีปรากฎมายาวนานกว่านี้นะ ดิฉันว่า

การย้ายภิ่นฐานของม้งหากพูดไปแล้ว จะไม่ได้แสดงถึงความน่าอายและแสดงถึงปมด้อยของคนม้ง แต่แสดงถึงเรื่องราวของการตายและความยากลำบากของม้งเรามากกว่า ทั้งนี้การย้ายถึงจึงเป็นเพียงทางหนึ่งที่ดีที่สุดที่เป็นทางแห่งความรอดของม้งเราเท่านั้น หากไม่ย้ายตามคำสั่งก้ต้องตาย หากย้ายแล้วไม่หนีก็ถูกฆ่า หากมัวแต่อยู่ที่เดิม ตอนนี้คนม้งคงไม่มี เพราะถุกกลืนแล้ว ม้งได้มีการย้า้ยถิ่นฐานมายาวนาน จนดูเหมือนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเพลงดั้งเดิมม้งที่พาดพิงถึงถิ่นรักบ้านเกิด การพรากพลาดปู่ย่าตายาย พ่อแม่ พี่น้อง และผู้เป็นที่รัก การย้ายถิ่นจึงดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ม้งเลยทีเดียว ี

การย้ายถิ่นของม้งดิฉันคิดว่าไม่ได้แสดงถึงสิ่งเหล่านั้นมากไปกว่าการย้ายถิ่นฐานเป็นไปเพราะเพื่อความอยู่รอดนะ ถึงทำให้ม้งเราจำเป็นต้องย้ายเพื่อที่จะดำเนินสืบตระกูลเราต่อไป สิ่งที่เราทำไปต้องมีเหตุผลซ ไม่ใช่อยู่ๆอยากย้ายไปไหนก็ไป เิหตุผลมีอยู่แล้ว แต่เราผู้ศึกษาตาไม่สว่างพอที่จะมองเห็นเหตุผลเหล่านั้นได้เองโดยตรงและง่ายดายเท่านั้น

เหตุผลชองการย้ายถิ่นของม้งในที่ดังกล่าวที่คุณได้ถามถึงนั้น ดิฉันเองไม่อาจตอบคุณได้ว่าเกืดอะไร ทำไมกับคนม้งกลุ่มนั้น ทำไมถึงไม่อยู่ในพื้นที่เหล่านั้น ดิฉันเองยังไม่ทราบด้วยซำ้ไปว่า ที่ที่คุณกล่าวมาเป็นสองที่ที่ม้งมาอยู่ในไทบครั้งแรกอยู่ แต่หากจะขอตอบบแบบมุมมองที่กว้างๆกว่านั้น เพื่อให้เกิดการมองภาพที่ทั่วไปขึ้น ดิฉันคิดว่ากาย้ายถิ่นของม้งนั้นเป็นเพราะสงคราม เป็นไปเพื่อการทำการเพาะปลูก เป็นไปเพราะการหนีโรคภัยไข้เจ็บ และเพราะความเชื่อที่มีผลต่อพื้นที่ี่ที่แห่งนั้น

สงคราม...การเกิดขึ้นสงครามในจีนหลายต่อหลายพันปีในจีน ส่งผลกระทบให้คนม้ง หรือแม้กระทั่งกลุ่มชาติพันธุ์อ่นต้องเดินทาง และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา..ม้งเป็นกลุุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระัทบมากที่สุดในบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ เนื่องจากเรามการปกครองของตัวเองมาก่อน มีผู้นำมาก่อน จึงทำให้จีนเกรงกลัวว่าี่ม้งจะมีกำลังต่อต้านสู้กัน เหตุนี้กำลังเราจึงถูกลดน้อยถอยลงจนไม่มีทางสู้ เราจึงถูกรุกรานมาโดยตลอด การรุกรานหมายถึง การถูกทำให้ย้ายถิ่น เราจำเป็นต้องย้ายอย่างนี้อยู่เรื่อยเพื่อสรรหาที่ที่เหมาะสำหรับเรา ม้งส่วนใหญ่ยังคงเห็นว่าจีนคือที่ที่สำหรับเขา เขาจึงไม่หนีออกมาจากจีน ม้งที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เห็นการอยู่ในจีนคงอยู่ไม่รอดแน่ จึงได้สร้างทางมายังที่ดังกล่าว
ทีนี้การย้ายที่ดังกล่าวในประเทศไทยที่คุณเอ่ยถึงบ้านดอยช้าง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย กับดอยอ่างข่าง จังหวัดเชียงใหม่นั้นคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของสงครามมากไปกว่า
ความเชื่อของคนม้งและเพื่อการทำมาหากิน


ความเชื่อที่มีต่อของเจ้าที่เจ้าทางที่มีผลต่อการตั้งหมู่บ้านหรือบ้านมีผลต่อการย้ายถิ่น หมู่บ้านดังกล่าวอาจเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐานตามความเชื่อของม้งก็ได้ เราจึงต้องย้ายเพื่อความสบายใจ

โรคภัยไข้เจ็บก็เช่นกัน มีส่วนที่ทำให้เราต้องย้ายถิ่น เพราะม้งเราเชื่อว่า การย้ายถิ่นเป็นการหนีโรคภัย
ที่ที่แห่งนั้นเกิดโรคต่างๆอย่างนี้ได้ต้องมีเรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง การเป็นไปของชิวิตผู้คนขึ้นอยู่กับผู้อยู่เบื้องบนและสิ่งสถิตทั่วไป ชิวิตความเป็นอยู่ของคนขึ้นอยู่กับมือของผู้อยู่เบื้องบนและสิ่งเหนือการมองเห็น ฉะนั้นการมีโรคภัยไข้เจ็บในหมู่ผู้คนเป็นการบังเกิดของผู้อยู่เบื้องบนและสิ่งสถิตเหล่านั้น

ม้งเราจะย้ายถิ่นเนื่องมาจากเหตุผลนี้ด้วยคือ เราเชื่ออีกว่าก็็เนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าพื้นที่ไม่เหมาะสมจึงเกิดปัญหาสังคม การเพาะปลูกไม่ได้ผล และโรคภัยไข่เจ็บอีก ทั้งหมดนี้พยายามจะโยงให้เห็นว่า การย้ายถิ่นของม้งได้มีความเชื่อของม้งเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอันดับแรก หากไม่ได้รวมถึงการย้ายถิ่นเพราะสงครามในสมัยก่อน

การเพาะปลูกอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ม้งต้องย้ายจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง การสรรหาที่ดินใหม่ๆเพื่อการเพาะปลูกเป็นตัวชักนำให้เราย้านถิ่นกัน เพื่อชีวิตที่อยู่รอด และเพื่อการดำเนินชีวิตเท่านั้นเรามนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องดิ้นรนกับสภาพแวดล้อม แวดล้อมที่ดีย่อมให้การเพาะปลูกที่ดี เราไม่ได้เพียงคำนึงถึงควมเชื่อของเราอย่างเดียว แต่หลักการของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของโลกด้วยิ

จริงๆแล้วกลักของการตั้งถิ่นฐานของม้งนั้นก็มีหลักการดูทิศดูทางเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งการสร้างบ้าน การหาที่เพาะปลูก ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันของม้งเรานั้นนอกจากจะได้รับการควบคุมโดยคำของคนเราแล้ว เรายังถูกควบคุมด้วยความเชื่อต่างๆเหล่านั้นด้วย
อันนี้ไม่รวมถึงม้งคริสเตียน และม้งที่ไม่รู้ และม้งที่ลืมสิ่งดั้งเดิมของตัวเองนะคะ

ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่ประกอบกับการคิดตามข้อมูลที่พอมีอยู่ให้เราศึกษานะ
การที่นักวิชาการสักคนไม่สามารถตอบคำถามคุณได้ คุณก็พยายามช่วยหาคำตอบไปเรื่อยๆนะคะ
เอ...ว่าแต่ว่าแล้วคุณได้พบเจอกับนักวิชาการม้งตัวจริงหรือยังหล่ะ...
...นักวิชาการม้งหมายถึงใครหรอคะ...คนที่มีก้ารศึกษาอย่างมีรูปแแบบและไม่มีรูปแบบก็ได้ที่รู้เรื่องม้งเหรอ? หรือมีนักวิชาการเป็นม้งผู้ี่มีความเชี่ยวชาญด้านอื่นที่ไม่ใช่เกี่ยวกับม้ง?

หากคุณทราบหรือรู้จักท่านใดก็ขอให้ข้อมูลดิฉันด้วยนะคะ...จะเป็นประโยชน์ต่อดิฉันมากเลย
ดิฉันเองก็สนใจมากที่จะศึกษาเรื่องราวของตัวเองด้วยเหมือนกัน....อยากรู้จักเหมือนกัน
ขอบคุณมากนะคะ



โดย : Rain URL : http://www.hmongstime.blogspot.com เมื่อ วันอาทิตย์ ที่ 30 พฤศจิกายน 2551 เวลา 06:20:22 PM น. ip 117.99.55.5
ดูเพิ่มเติมได้ในส่วนของเนื้อหาทั้งหมดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ
http://www.hilltribe.org/autopage/show_page.php?h=39&s_id=50&d_id=47

Tuesday, December 23, 2008

ทำไมเรียนกล่าวบทพิธีต่างๆมันยากนักยากหนา?


รูปแบบภาษาที่ใช้ในวงการต่างๆในภาษาม้งม้งเรามีภาษาที่ใช้ในลักษณะต่างกันขึ้นอยู่กับผู้รับสาร และจุดประสงค์ของผู้ส่งสาร

หมออัวเน้งสื่อสารกับผู้อยู่เบื้องบนสื่อสารด้วยภาษาที่เราคนทั่วไปฟังไม่ได้ความ ผู้เป่าแคนตีกลองในงานศพถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารกับศพ เราคนธรรมดาไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าให้คำแนะนำอะไรบ้างกับศพเพื่อจะได้ไปเจอปู่ย่าตาายของตนผูประกอบพิธีการต่างๆใช้ภาษาที่พวกเราไม่คุ้นหูกันเอาเสียเลยด้วยสาเหตุอะไรกันหรือ ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจอะไร อาจเป็นเพราะสาเหตุที่ว่าภาษาที่ใช้สือสารนั้นมีความยากอยู่ในตัวของมันเหรอ หรือด้วยเหตุประการใค บางคนตั้งใจเรียนคำกล่าวของพิธีต่างๆอย่างมีวามตั้งใจ แต่สุดท้ายก็ลืม จึงมีน้อยคนนักที่สามารถทำพิธีต่างๆเหล่านี้ได้
หากจะให้ดิฉันตอบคำถามตัวเองอ่ะนะ คงตอบว่า เพราะความยาก ความไม่คุ้นเคยของคำที่ใช้เหล่านั้น จึงทำให้กระบวนการเรียนรู้นั้นไม่ราบรื่น...แต่พอได้มาอ่านตำนนานของม้งเรื่องนี้แล้ว สามารถทำให้ดิฉันเกิดความพอใจในความสงสัยได้ดีเลยทีเดียว...จะลองแปลคราวๆให้ฟังนะ
แต่ก่อนนั้น ผู้คนหรือม้ง(ม้งแปลว่าคนได้เช่นกันในนัยหนึ่ง)ในโลกนี้ไม่มีภัยไข้เจ็บมาเยือนม้งเลย แต่ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาได้ทำบางอย่างผิด แล้วเกิดอันตรสยต่อตัวเองณ ขระนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะรักษาเยี่ยวยาตัวเองให้พ้นจากโรคภัยอันตรายนี้ได้เลย จึงมีสองพี่น้อง-พี่ชายและน้องชายไปร่ำเรียนความรู้อาถาอาคามจากเหย่อเซ๊าเอาหล่ะ...ทีนี้เหย่อเซ๊า(Saub)ได้มอบหีบ๔หีบให้กับสองพี่น้องนี้ โดยหีบแต่ละกล่องต่างๆเหล่านี้เป็นหีบที่เก็บคำต่างๆที่ใช้ในสถานการณ์หรือพิธีการต่างๆของมันเท่านั้นหีบกล่องที่๑ มีคำที่ใช้สื่อสารกันในวงการเพื่อความสนุกสนาน kwv txhiajเป็นตัวอย่างหนึ่งของคำของกลุ่มนี้ ที่หนุ่มสามใช้กันเวลากล่องที่๒ มีคำที่ใช้เพื่อจูงใจให้คนสองคนมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข คำที่ใช้ในการประกอบพิธีการแต่งงานอยู่ในกล่องนี้( zaj tshoob)กล่องที่๓ เป็นกลุ่มของคำที่ใช้เมื่อมีคนเสียชีวิต( txiv xaiv)กล่องที่ ๔ บรรจุคำที่ใช้รักษาคนให้พ้นทุกขืพ้นภัย นั่นคือภาษาอาคม(khawv koob)
ในขณะที่เหย่อเซ๊ากำลังมอบหีบต่างเหล่านี้ให้กับเขาทั้งสองนั้น ท่านได้เตือนสองพี่น้องคู่นี้ว่า"จงอย่าเปิดหีบต่างเหล่านี้ในระหว่างทาง หากเมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านถึงบ้านเมือ่นั้นเจ้าจะสามาถรรับรู้ได้ว่าคนไหนเป็นคนดีควรที่จะถ่ายทอดความรู้ให้" แต่แล้วในระหว่างทางด้วยความบังเอิญ มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เข้ามาทักว่าเอาอะไรมา แล้วรีบหยิบหีบกล่องหนึ่งไปเปิด คำต่างที่บรรจุอยู่ข้างในกล่องนี้ก็โดดกระจายกันออกมาทั่วทุกหนแห่ง จนทั้งคนไกล้คนไกลรู้กันหมดว่ามีคำต่างๆอะไรบ้างอยู่ในกล่องนั้น

กล่องที่ถูกเปิดนี้คือกล่องที่๑ ซึ่งมีคำในกลุ่มของคำที่ใช้เพื่อความสนุกสนาน ด้วยเหตุที่คำในกล่องนี้ถูกเปิดนี่เอง จึงทำให้เด็ก ผู้ใหญ่ คนชราก็สามารถเรียนรู้และรู้ และเข้าใจคำเหล่านี้อย่างง่ายดาย ส่วนในส่วนของคำที่ใช้ในการทำพิธีการแต่งงาน งานศพ และคาถาอาคมยังคงถูกเก็บไว้ในหีบอยู่จนถึงทุกวันนี้ เราจึงยากที่จะเรียนรู้มันอย่างง่ายดายเหมือนกล่องแรก (หีบทั้งสามเป็นหีบที่ใช้ดูแลผู้คนซึ่งต่างจากหีบแรกนะ..ว่ามั้ย)
จะว่าแล้วน่ะ...แม้กระทั่งtxiv xaivในสมัยนี้ก็ยังยากสำหรับม้งในปัจจุบันที่จะเรียนรู้เลย...ตัวตัวอย่างเช่นดิฉันเอง...ฝึกแล้วฝึกอีกก็แค่ได้หน้าลืมหล้ง แถมเสียงขึ้นลงตรงไหนก็ไม่รู้ ..เลยสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ต้องมีคนได้จับคำในหีบนี้เข้าใส่กล่องหีบของมันแล้วมั้งถึงยากเย็ยหนักหนาอะไรอย่างนี้...หรือเป็นเพราะความไม่ใฝ่เรียนรู้หรือพยายามของเราเอง

เรื่องเล่าแปลมาจาก Khoua Ker Xiong, as told to McNamer 1986: 83
Ua tsaug ntau ntau nas.

Rainrai 24-ธันวาคม-08

My Friends' Blogs

India and I

  • There are alots of things which waiting for us to discover. All knowledge is not around us,but inside. It is depended upon our ability to realise and pick it up. The apple falls from the tree,and if Newton failed to learn from it,then the law of gravitation would have not been discovered!!!
  • India is the country of contrast. You often see someting beyound your expectation.Yet,and I found that there is a tool similar to Hmong's ones expecially the stick used for balancing the two baskets for carrying water. I observed that their's one is like ours only. In Hmong language we can read it phonetically as " / dΛ ŋ/ ". This attracts me to look forward for the connection.
  • India has also have a interesting story "Why corps in the filed do not come home themselves like in the past?" I have heard this story when I was a child. Thus when I came across this Indian legend ,it reminds me of the Hmong version. If you are interested you can check it out form my page in Thai text,otherwise you can surf it. This story creates another couriosity in me. I want to find out if we had been to India before we reached in China. Because the ICE AGE or the Peleolithic Age or The Earliest traces of human existance was in India.
  • India is where we Hmongs think that there are also Hmongs live in. But I have experienced that there is not Hmong Indian. Yet,there is a gruop of people who call themselves as "Mizo"(with the similarity of the Hmong's names given by the Han, i.e. Miao zu,Meo or even Mizo ) .But as far as I have learnt form my Mizo friends in college,our language is competely different to one another.Moreover, our dress also is different. However there are many Hmong researchers suggested me that there are Hmongs living in India,and yes, there are Hmongs living here, but only living for studying.
  • I was in debt to India. She educates,guides and teaches me how to be a great survior.
  • เป็นกำลังใจให้ทุกคนๆเดินออกมาพร้อมความสำเร็จนะ
  • ใครเรียนอยู่อินเดียบ้าง..ขอมือหน่อย